MENU

Where the world comes to study the Bible

21. มัทธิว บทเรียนที่ 21 “ทำไมพระเยซูไม่ปรับไปตามที่มนุษย์คาดหวัง หรือ ทำไมพระเยซูเลี้ยงฉลองในขณะที่คนอื่นๆอดอาหาร (มัทธิว 9:1-17)

Related Media

คำนำ1

ผู้นำศาสนาชาวยิวเริ่มร้อนรุ่ม พระเยซูดูจะเป็นภัยคุกคาม พวกเขารู้ดี ที่จริงพระเยซูทรงเป็นภัยคุกคามมาตั้งแต่ต้น จำปฏิกิริยาของชาวเยรูซาเล็มได้หรือไม่ (เมืองที่ผู้นำศาสนาชาวยิวหลายคนอาศัย) ต่อข่าวเรื่องการประสูติของ “กษัตริย์ชาวยิว”:

1พระ‍เยซู​ได้​ทรง​บัง‍เกิด​ที่​บ้าน​ เบธ‌เล‌เฮม​แคว้น​ยู‌เดีย​ใน​รัช‌กาล​ของ​กษัตริย์​เฮ‌โรดภาย‍หลัง​มี​พวก​ นัก‍ปราชญ์​จาก​ทิศ​ตะ‌วัน‍ออก​มา​ยัง​กรุง‍เย‌รู‌ซา‌เล็มถาม​ว่า 2“พระ‍กุมาร​ผู้​ที่​ทรง​บัง‍เกิด​มา​เป็น​กษัตริย์​ของ​ชน‍ชาติ​ยิว​นั้น​ อยู่​ที่​ไหน? เรา​ได้​เห็น​ดาว​ของ​ท่าน​ทาง​ทิศ​ตะ‌วัน‍ออกและ​เรา​จึง​มา​เพื่อ​จะ​ นมัส‌การ​ท่าน” 3เมื่อ​กษัตริย์​เฮ‌โรด​ทรง​ได้‍ยิน​ดัง‍นั้น​แล้วก็​วุ่น‍วาย​พระ‍ทัยทั้ง​ ชาว​กรุง‍เย‌รู‌ซา‌เล็ม​ก็​พลอย​วุ่น‍วาย​ใจ​ไป​ด้วย (มัทธิว 2:1-3)2

ต่อมาในพระกิตติคุณยอห์น เราพบสาเหตุที่ทำไมชาวเยรูซาเล็มถึงวุ่นวายใจนัก พวกเขาพูดออกมาเอง:

47 ฉะนั้น​พวก​หัว‍หน้า​ปุ‌โร‌หิต​และ​พวก​ฟาริสี​ก็​เรียก​ประ‌ชุม​สมา‌ชิ ก‍สภา​แล้ว​พูด​กัน​ว่า “เรา​จะ​ทำ​อย่าง‍ไร​กัน​ดีเพราะ‍ว่า​ชาย​คน‍นี้​ทำ​หมาย‍สำคัญ​มาก‍มาย? 48ถ้า​เรา​ปล่อย​ให้​เขา​ทำ​อย่าง‍นี้​ต่อ‍ไป ทุก‍คน​ก็​จะ​เชื่อ‍ถือ​เขาแล้ว​พวก​โร‌มัน​ก็​จะ​มา​ทำ‍ลาย​ทั้ง​พระ‍วิหาร​และ​ชาติ​ของ​เรา”(ยอห์น 11:47-48)

ผู้นำศาสนาชาวยิวต่างกินดีอยู่ดี มีตำแหน่ง บารมี และมีอำนาจ ซึ่งแปลว่าสามารถใช้อำนาจที่มีหาผลประโยชน์ให้ตนเองได้ ตัวอย่างเช่นรับแลกเงิน ผูกขาดการขายสัตว์ที่ใช้ในพิธีถวายบูชาในพระวิหาร น่าจะเป็นสิทธิขาดของมหาปุโรหิต3พวกเขาต้องเสียผล ประโยชน์มหาศาลถ้าพระเมสซิยาห์เสด็จมา อะไรๆที่เคยได้ก็จะไม่เหมือนเดิม จึงหวาดกลัวพระเยซูตั้งแต่ในรางหญ้าไปจนถึงเมื่อเทศนาที่บนภูเขาในมัทธิว 5-7

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่ได้ช่วยให้พวกเขาจิตใจสงบลง แต่กลับประกาศว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา:

29 วัน‍รุ่ง‍ขึ้น​ยอห์น​เห็น​พระ‍เยซู​กำลัง​เสด็จ​มา‍หา​ท่านท่าน​จึง​กล่าว​ ว่า“จง​ดู​พระ‍เมษ‌โป‌ดก​ของ​พระ‍เจ้าผู้​ทรง​รับ​บาป​ของ​โลก​ไป 30 พระ‍องค์​นี้​แหละ​ที่​ข้าพ‌เจ้า​กล่าว​ว่า ‘ภาย‍หลัง​ข้าพ‌เจ้า​จะ​มี​ผู้‍หนึ่ง​ที่​ยิ่ง‍ใหญ่​กว่า​ข้าพ‌เจ้า​เสด็จ​ มา เพราะ‍ว่า​พระ‍องค์​ทรง​ดำรง​อยู่​ก่อน​ข้าพ‌เจ้า’ 31ข้าพ‌เจ้า​เอง​ไม่​รู้‍จัก​พระ‍องค์แต่​เพื่อ​ให้​พระ‍องค์​เป็น​ที่​ ประ‌จักษ์​แก่​อิสรา‌เอลข้าพ‌เจ้า​จึง​ให้​บัพ‌ติศ‌มา​ด้วย​น้ำ” 32และ​ยอห์น​กล่าว​เป็น​พยาน​ว่า “ข้าพ‌เจ้า​เห็น​พระ‍วิญ‌ญาณ​เสด็จ​ลง‍มา​จาก​สวรรค์​เหมือน​ดัง​นก‍พิราบ และ​สถิต​กับ​พระ‍องค์ 33ข้าพ‌เจ้า​เอง​ไม่​รู้‍จัก​พระ‍องค์แต่​พระ‍องค์​ผู้​ทรง​ใช้​ข้าพ‌เจ้า​ มา​ให้​บัพ‌ติศ‌มา​ด้วย​น้ำได้​ตรัส​กับ​ข้าพ‌เจ้า​ว่า ‘เมื่อ​เห็น​พระ‍วิญ‌ญาณ​เสด็จ​ลง‍มา​สถิต​อยู่​กับ​คน‍ใดคน‍นั้น​แหละ​จะ​ เป็น​คน​ให้​บัพ‌ติศ‌มา​ด้วย​พระ‍วิญ‌ญาณ‍บริ‌สุทธิ์’ 34และ​ข้าพ‌เจ้า​ก็​เห็น​แล้ว​และ​เป็น​พยาน​ว่า​พระ‍องค์​นี้​แหละ​เป็น​ พระ‍บุตร​ของ​พระ‍เจ้า” (ยอห์น 1:29-34)

ผู้คนทั้งใกล้และไกลต่างก็มาฟังคำเทศนาของยอห์นและรับบัพติศมาจากท่าน พวกปุโรหิตและเลวีต่างก็ตระหนักถึงอิทธิพลของยอห์น และส่งคนออกไปคอยเฝ้าดู:

19 นี่​เป็น​คำ​พยาน​ของ​ยอห์นคือ​เมื่อ​พวก​ยิว​ส่ง​พวก​ปุ‌โร‌หิต​และ​พวก​ เลวี​จาก​กรุง‍เย‌รู‌ซา‌เล็ม​ไป​ถาม​ท่าน​ว่า “ท่าน​คือ​ใคร?” 20ท่าน​ก็​ยอม‍รับ​และ​ไม่‍ได้​ปฏิ‌เสธ คือ​ยอม‍รับ​ว่า “ข้าพ‌เจ้า​ไม่‍ใช่​พระ‍คริสต์” 21พวก‍เขา​จึง​ถาม​ว่า “ถ้า​อย่าง‍นั้น​ท่าน​เป็น​ใคร?ท่าน​เป็น​เอ‌ลี‌ยาห์หรือ​?” ยอห์น​ตอบ​ว่า “ข้าพ‌เจ้า​ไม่​ใช่​เอ‌ลี‌ยาห์” “ท่าน​เป็น​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​คน​นั้นหรือ?” และ​ยอห์น​ตอบ​ว่า “ไม่‍ใช่” 22พวก‍เขา​จึง​ถาม​ว่า “แล้ว​ท่าน​เป็น​ใคร? ขอ​ให้​ตอบ​มาจะ​ได้​ไป​บอก​คน​ที่​ใช้​เรา​มาท่าน​จะ​ตอบ​เรื่อง​ตัว​ท่าน​ ว่า​อย่าง‍ไร?” 23ท่าน​ตอบ​ว่า“เราเป็น​เสียง​ของ​คน​ที่​ร้อง‍ประ‌กาศ​ใน​ถิ่น‍ทุร‌กัน‌ดาร ​ว่า‘จง​ทำ​มรรคาของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ให้​ตรง​ไป’ตาม​ที่​อิส‌ยาห์​ ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​กล่าว​ไว้ (ยอห์น 1:19-23)

ยอห์นไม่เคยอยู่ในระบบศาสนาเหมือนผู้เป็นบิดา (ลูกา 1:5-25) ท่านอาศัยในถิ่นทุรกันดาร ไม่ได้อยู่ในเยรูซาเล็ม ผู้คนต้องไปหาท่านเพื่อฟังคำเทศนา และเมื่อพวกฟาริสี และสะดูสีมาหายอห์นเพื่อรับบัพติศมา ท่านปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่รุนแรง:

7เมื่อ​ยอห์น​เห็น​พวก​ฟาริสี และ​พวก​สะ‌ดู‌สี​มา​กัน​เป็น​จำ‌นวน​มากเพื่อ​จะ​รับ​บัพ‌ติศ‌มาท่าน​จึง​ กล่าว​แก่​เขา‍ทั้ง‍หลาย​ว่า “พวก​ชาติ​งู‍ร้ายใคร​เตือน​พวก‍ท่าน​ให้​หนี​จาก​พระ‍พิโรธ​ที่​จะ​มา​นั้น 8เพราะ‍ฉะนั้น​จง​เกิด‍ผล​ให้​สม​กับ​การ​กลับ‍ใจ 9อย่า​ทึก‍ทัก​ว่า​ตัว‍เอง​มี​อับ‌รา‌ฮัม​เป็น​บรรพ‌บุรุษเพราะ​ข้าพ‌เจ้า​ บอก​พวก‍ท่าน​ว่าพระ‍เจ้า​ทรง​สามารถ​ให้​บุตร​แก่​อับ‌รา‌ฮัม​จาก​ก้อน‍หิน ​เหล่า‍นี้​ได้ 10บัด‍นี้​ขวาน​วาง​ไว้​ที่​โคน​ต้น‍ไม้​แล้วและ​ทุก​ต้น​ที่​ไม่​เกิด‍ผล​ ดี​จะ​ต้อง​ถูก​ตัด​แล้ว​โยน​ทิ้ง​ใน​กอง‍ไฟ 11ข้าพ‌เจ้า​ให้​ท่าน​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​ด้วย​น้ำแสดง​ว่า​กลับ‍ใจ​ใหม่​ก็​ จริงแต่​พระ‍องค์​ผู้​จะ​มา​ภาย‍หลัง​ข้าพ‌เจ้าทรง​ยิ่ง‍ใหญ่​กว่า​ข้า พ‌เจ้าซึ่ง​ข้าพ‌เจ้า​ไม่​คู่‍ควร​แม้​แต่​จะ​ถือ​ฉลอง‍พระ‍บาท​ของ​ พระ‍องค์พระ‍องค์​จะ​ทรง​ให้​พวก‍ท่าน​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​ด้วย​พระ‍วิญ‌ญาณ‍ บริ‌สุทธิ์​และ​ด้วย​ไฟ 12พระ‍องค์​ทรง​ถือ​พลั่ว​อยู่​ใน​พระ‍หัตถ์​แล้วและ​จะ​ทรง​ชำระ​ลาน‍ข้าว​ ของ​พระ‍องค์​ให้​ทั่วพระ‍องค์​จะ​ทรง​รวบ‍รวม​เมล็ด‍ข้าว​ของ​พระ‍องค์​ไว้ ​ใน​ยุ้ง‍ฉางแต่​พระ‍องค์​จะ​ทรง​เผา​แกลบ​ด้วย​ไฟ​ที่​ไม่‍มี​วัน​ดับ” (มัทธิว 3:7-12)

เมื่อยอห์นจากไป พระเยซูทรงเข้ามาสานงานต่อจากท่าน:

ตั้ง‍แต่​นั้น​มาพระ‍เยซู​ทรง​ตั้ง‍ต้น​ประ‌กาศ​ว่า“จง​กลับ‍ใจ​ใหม่เพราะ​ว่า​แผ่น‍ดิน​สวรรค์​มา​ใกล้​แล้ว” (มัทธิว 4:17 เทียบกับ 3:2)

เช่นเดียวกับยอห์น พระเยซูไม่ทรงยอมปรับไปตามระบอบศาสนาของยุคนั้น ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูทรงเห็นด้วยกับยอห์นว่าพวกผู้นำศาสนาในยุคนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดิน สวรรค์ (ถ้าไม่ยอมสำนึกผิดกลับใจจริง และมาเชื่อในพระเยซูคริสต์)

“เพราะ​เรา​บอก​พวก‍ท่าน​ว่าถ้า​ความ​ ชอบ‍ธรรม​ของ​ท่าน​ไม่​มาก‍กว่า​ความ​ชอบ‍ธรรม​ของ​พวก​ธรร‌มา‌จารย์​และ​ พวก​ฟาริสีพวก‍ท่าน​จะ​ไม่‍มี​วัน​ได้​เข้า​สู่​แผ่น‍ดิน​สวรรค์” (มัทธิว 5:20)

จากตรงนี้พระเยซูทรงเข้าไปแก้ไขคำสอนที่ผิดๆของผู้นำศาสนายิว ในข้อต่อไปของมัทธิว พระเยซูทรงเริ่มทำให้การตีความธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมชัดเจนถูกต้อง:

21“ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​ได้‍ยิน​คำ​ซึ่ง​กล่าว ​ไว้​กับ​คน​ใน​สมัย​ก่อน​ว่า ‘ห้าม​ฆ่า​คน ถ้า​ใคร​ฆ่า​คน คน​นั้น​จะ​ต้อง​ถูก​พิพาก‌ษา’ 22 แต่​เรา​บอก​พวก‍ท่าน​ว่าใคร​โกรธ​พี่‍น้อง​ของ​ตนคน‍นั้น​จะ​ต้อง​ถูก​พิ พาก‌ษาถ้า​ใคร​พูด​กับ​พี่‍น้อง​อย่าง​เหยียด‍หยาม​คน​นั้น​จะ​ต้อง​ถูก​นำ​ ไป​ยัง​ศาล​สูง​ให้​พิพาก‌ษาและ​ถ้า​ใคร​พูด​ว่า‘อ้าย​โฉด’ คน​นั้น​จะ​มี​โทษ​ถึง​ไฟ‍นรก” (มัทธิว 5:21-22)

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระเยซูทรงแก้ไขความผิดพลาดนั้นด้วยถ้อยคำว่า “ท่านทั้งหลายได้ยิน …. แต่เราบอกพวกท่านว่า ….” ข้อผิดพลาดที่พระองค์แสดงให้เห็นเป็นคำสอนที่มาจากพวกผู้นำศาสนาชาวยิว

แต่พระเยซูกลับดูเป็นภัยคุกคามกว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมา – สิทธิอำนาจที่ทรงสำแดง ทรงรับรองด้วยการอัศจรรย์ของพระองค์ :

40พระ‍องค์​เสด็จ​ข้าม​แม่‍น้ำ​จอร์‌แดน​ อีกและ​ไป​ถึง​ตำบล​ที่​ยอห์น​เคย​ให้​บัพ‌ติศ‌มาแล้ว​พระ‍องค์​ทรง​พัก​ อยู่​ที่‍นั่น 41คน​จำ‌นวน​มาก​พา​กัน​มา‍หา​พระ‍องค์​กล่าว​ว่า “ถึง​ยอห์น​ไม่‍ได้​ทำ​หมาย‍สำคัญ​อะไร​เลยแต่​ทุก‍สิ่ง​ที่​ยอห์น​ กล่าว‍ถึง​ท่าน​ผู้‍นี้​เป็น​ความ​จริง” 42และ​มี​คน​ที่​นั่น​หลาย​คน​วาง‍ใจ​ใน​พระ‍องค์ (ยอห์น 10:40-42)

พระเยซูทรงรับรองคำสอนของพระองค์ด้วยการอัศจรรย์ครั้งแล้วครั้งเล่า มัทธิวบ่งชัดว่าพระเยซูทรงสนับสนุนคำสอนของพระองค์ด้วยการทำอัศจรรย์หลาย ครั้งและหลายแบบ ทำให้มีผู้คนมากมายติดตามพระองค์ไป:

23พระ‍เยซู​ได้​เสด็จ​ไป​ทั่ว​แคว้น​ กา‌ลิ‌ลีทรง​สั่ง‍สอน​ใน​ธรรม‍ศาลา​ของ​พวก‍เขาทรง​ประ‌กาศ​ข่าว‍ประ‌เสริฐ​ เรื่อง​แผ่น‍ดิน​ของ​พระ‍เจ้าและ​ทรง​รักษา​บรร‌ดา​โรค‍ภัย‍ไข้‍เจ็บ​ของ​ ชาว‍เมือง​ให้​หาย 24กิตติ‍ศัพท์​ของ​พระ‍องค์​ก็​เลื่อง‍ลือ​ไป​ทั่ว​ประ‌เทศ​ซี‌เรียพวก‍เขา​ จึง​พา​คน​ทั้ง‍หลาย​ที่​เจ็บ‍ป่วย​ด้วย​โรค​ต่างๆพวก​ที่​เจ็บ‍ปวด​ทร‌มานพ วก​ที่​ถูก​ผี​เข้าพวก​ที่​เป็น​ลม‍บ้า‍หมู​และ​เป็น​อัมพาต​มา‍หา​พระ‍องค์ พระ‍องค์​ก็​ทรง​รักษา​เขา​ให้​หาย 25และ​มี​มหา‍ชน​ติด‍ตาม​พระ‍องค์​ซึ่ง​มา​จาก​แคว้น​กา‌ลิ‌ลีแคว้น​ทศ‌บุรี กรุง‍เย‌รู‌ซา‌เล็มแคว้น​ยู‌เดียและ​แม่‍น้ำ​จอร์‌แดน​ฟาก​ตะ‌วัน‍ออก (มัทธิว 4:23-25)

16 พอ​ค่ำ​ลง พวก‍เขา​พา​คน​จำ‌นวน​มาก​ที่​มี​ผี‍สิง​มา‍หา​พระ‍องค์พระ‍องค์​ก็​ทรง​ ขับ‍ผี​ออก​ด้วย​พระ‍ดำรัส และ​บรร‌ดา​คน​เจ็บ‍ป่วย​นั้นพระ‍องค์​ก็​ทรง​รักษา​ให้​หาย 17 ทั้ง‍นี้​เพื่อ​จะ​ให้​สำเร็จ​ตาม​พระ‍วจนะ​ที่​ตรัส​ผ่าน​อิส‌ยาห์​ ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​ที่​ว่า“ท่าน​แบก​ความ​เจ็บ‍ไข้​ของ​เราและ​หอบ​โรค​ของ​ เรา​ไป”(มัทธิว 8:16-17)

มัทธิวไม่ได้ปูฉากหลังให้เห็นเหมือนลูกา ให้มาดูพระวจนะตามที่ลูกาบันทึกเพื่อใช้ประกอบการเรียน:

17ต่อ‍มา​วัน‍หนึ่ง ขณะ‍ที่​พระ‍องค์​ทรง​สั่ง‍สอน​อยู่มี​พวก​ฟาริสี​และ​พวก​อา‌จารย์​สอน​ ธรรม‍บัญญัติ​มา​นั่ง​อยู่​ด้วยเป็น​คน​ที่​มา​จาก​ทั่ว​ทุก​หมู่‍บ้าน​ใน​ แคว้น​กา‌ลิ‌ลีแคว้น​ยู‌เดียและ​กรุง‍เย‌รู‌ซา‌เล็มฤทธิ์‍เดช​ของ​ องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ก็​อยู่​กับ​พระ‍องค์​เพื่อ​ที่​จะ​รักษา​โรค​ได้ 18และ​นี่‍แน่ะมี​บาง‍คน​หาม​คน‍ง่อย​ซึ่ง​นอน​อยู่​บน​ที่‍นอน​มาพวก‍เขา​ พยา‌ยาม​หา​ทาง​หาม​คน‍ง่อย​เข้า‍มา​วาง​ตรง‍หน้า​พระ‍องค์ (ลูกา 5:17-18)

ดูเหมือนมีการพูดคุยกันมากมายในท่ามกลางผู้นำศาสนาชาวยิว – ในห้องลับ – พวกเขากำลังสงสัยว่าพระเยซูจะเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อการเป็นผู้นำของพวก เขา จำเป็นต้องออกไปตรวจสอบ ดังนั้นพวกครูสอนธรรมบัญญัติและฟาริสีจากทั่วทุกสารทิศ จึงมาอยู่ในท่ามกลางผู้คน พวกนี้ไม่ได้มาอย่างเปิดใจ หรือพยายามเสาะหาว่าพระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์จริงหรือ ผมว่าพวกเขาคงไม่เคยถามตัวเอง “เรื่องนี้เป็นจริงหรือ? พระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์จริงหรือ?” พวกเขามัวแต่กลัวว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราปล่อยไปโดยไม่ทำอะไร แล้วเกิดผู้คนไปเลือกตามพระเยซู แล้วเลิกตามพวกเราล่ะ? พวกเขาต้องไปตรวจสอบคนๆนี้ และหาทางจัดการกับความเสียหายก่อนที่จะสายไป

ผู้คนมากมายไปรวมตัวกันที่บ้านในคาเปอร์นาอุม ไปฟังคำสอนของพระเยซู (มาระโก 2:1-2) ฤทธิอำนาจของพระองค์ก็ทรงสำแดงที่นั่นด้วย ทรงทำการอัศจรรย์รักษาโรค (ลูกา 5:17) ที่นั่นจึงแน่นขนัดจนคนเข้าไปอีกไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงชายสี่คนที่หามคนง่อยมาบนแคร่ หลายคนอยากมาฟังคำสอน อยากเก็บไว้ทุกถ้อยคำ บางคนหวังว่าจะได้รับการรักษาโรค แล้วก็มีครูสอนธรรมบัญญัติและพวกฟาริสี นั่งกอดอกฟังอยู่ด้วย มาตรวจสอบหน้าใหม่ในวงการที่ไม่ได้ผ่านตราประทับรับรองจากพวกเขา (และที่จริงเป็นฝ่ายตรงข้ามอีกต่างหาก)

พระเยซูและคนง่อย : คนบาปที่ได้รับการอภัย (มัทธิว 9:1-8)

1พระ‍เยซู​เสด็จ​ลง​เรือ​ข้าม​ฟาก​ไป​ยัง ​เมือง​ของ​พระ‍องค์ 2นี่‍แน่ะเขา‍ทั้ง‍หลาย​หาม​คน‍ง่อย​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​นอน​อยู่​บน​ที่​นอน​ มา‍หา​พระ‍องค์เมื่อ​พระ‍เยซู​ทอด‍พระ‍เนตร​เห็น​ความ​เชื่อ​ของ​พวก‍เขาจึง ​ตรัส​กับ​คน‍ง่อย​ว่า“ลูก​เอ๋ย จง​ชื่น‍ใจ​เถิดบาป​ของ​เจ้า​ได้​รับ​อภัย​แล้ว” 3เมื่อ​ได้‍ยิน​ดัง‍นั้นพวก​ธรร‌มา‌จารย์​บาง‍คน​คิด​ใน​ใจ​ว่า“คน​นี้​ หมิ่น‍ประ‌มาท​พระ‍เจ้า” 4พระ‍เยซู​ทรง​ทราบ​ความ​คิด​4 ของ​พวก‍เขาจึง​ตรัส​ว่า“ทำไม​พวก‍ท่าน​จึง​คิด​การ​ชั่ว​อยู่​ใน​ใจ? 5 การ​ที่​พูด​ว่า ‘บาป​ต่างๆ ของ​ท่าน​ได้​รับ​อภัย​แล้ว’ กับ​การ​พูด​ว่า ‘จง​ลุก‍ขึ้น​เดิน​ไป​เถิด’ แบบ​ไหน​จะ​ง่าย​กว่า​กัน? 6ทั้ง‍นี้​เพื่อ​ให้​ท่าน​รู้​ว่าบุตร‍มนุษย์​มี​สิทธิ‍อำนาจ​ใน​โลก​ที่​จะ ​อภัย​บาป​ได้” พระ‍องค์​จึง​ตรัส​สั่ง​คน‍ง่อย​ว่า “จง​ลุก‍ขึ้น​ยก​ที่​นอน​กลับ​ไป​บ้าน​ของ​ท่าน” 7เขา​จึง​ลุก‍ขึ้น​ไป​บ้าน 8เมื่อ​ฝูง‍ชน​เห็น​ดัง‍นั้นพวก‍เขา​ก็​เกรง‍กลัวแล้ว​พา​กัน​สรร‌เสริญ​ พระ‍เจ้าผู้​ประ‌ทาน​สิทธิ‍อำนาจ​เช่น​นั้น​แก่​มนุษย์ (มัทธิว 9:1-8)

น่าสนใจที่มัทธิวตัดตอนที่น่าสนใจที่สุดออกไป แต่มาระโกและลูกากลับบันทึกไว้ :

3 มี​คน​สี่​คน​หาม​คน‍ง่อย​คน​หนึ่ง​มา​เฝ้า​พระ‍องค์ 4แต่​เมื่อ​พวก‍เขา​ไม่​สามารถ​เข้า​ไป​ถึง​ตัว​ของ​พระ‍องค์​เพราะ​มี​คน​ มากพวก‍เขา​จึง​เจาะ​ดาด‍ฟ้า​ตรง​ที่​พระ‍องค์​ประ‌ทับ​นั้นและ​เมื่อ​ทำ​ เป็น​ช่อง​แล้วพวก‍เขา​ก็​หย่อน​แคร่​ที่​คน‍ง่อย​นอน​อยู่​ลง‍ไป 5เมื่อ​พระ‍เยซู​ทอด‍พระ‍เนตร​เห็น​ความ​เชื่อ​ของ​พวก‍เขาพระ‍องค์​จึง​ ตรัส​กับ​คน‍ง่อย​ว่า“ลูก​เอ๋ยบาป​ของ​เจ้า​ได้​รับ​การ​อภัย​แล้ว” 6แต่​มี​พวก​ธรร‌มา‌จารย์​บาง‍คน​นั่ง​อยู่​ที่​นั่น​และ​คิด​ใน​ใจ​ว่า 7“ทำไม​คน​นี้​พูด​อย่าง‍นี้ หมิ่น‍ประ‌มาท​พระ‍เจ้า​นี่ใคร​จะ​อภัย​บาป​ได้​นอก‍จาก​พระ‍เจ้า​องค์​ เดียว” 8พระ‍เยซู​ทรง​ทราบ​ใน​พระ‍ทัย​ทัน‍ที​ว่า​พวก‍เขา​สนทนา​กัน​ใน​หมู่​ พวก‍เขา​อย่าง​นั้น จึง​ตรัส​ว่า “ทำไม​พวก‍ท่าน​ถึง​คิด​ใน​ใจ​อย่าง‍นี้ 9การ​ที่​พูด​กับ​คน‍ง่อย​ว่า‘บาป​ต่างๆ ของ​ท่าน​ได้​รับ​การ​อภัย​แล้ว’ กับ​การ​พูด​ว่า ‘จง​ลุก‍ขึ้น​ยก​แคร่​เดิน​ไป​เถิด’ แบบ​ไหน​จะ​ง่าย​กว่า​กัน 10ทั้ง‍นี้​เพื่อ​ให้​พวก‍ท่าน​รู้​ว่า​บุตร‍มนุษย์​มี​สิทธิ‍อำนาจ​ใน​โลก​ ที่​จะ​อภัย​บาป​ได้” พระ‍องค์​จึง​ตรัส​สั่ง​คน‍ง่อย​ว่า 11“เรา​สั่ง​ท่าน​ว่า จง​ลุก‍ขึ้น​ยก​แคร่​แล้ว​กลับ​บ้าน​ของ​ท่าน” 12คน‍ง่อย​ก็​ลุก‍ขึ้นแล้ว​ยก​แคร่​ของ​ตน​ทัน‍ทีเดิน​ออก​ไป​ต่อ‍หน้า​คน​ ทั้ง‍หลายทุก​คน​ก็​ประ‌หลาด‍ใจ​และ​สรร‌เสริญ​พระ‍เจ้า​กล่าว​ว่า “เรา​ไม่​เคย​เห็น​อะไร​อย่าง‍นี้​เลย”(มาระโก 2:3-12) ดูลูกา 5:18-26 ด้วย

คนง่อยคนนี้ไม่ได้มาหาพระเยซูเหมือนคนอื่นๆ เขาถูกหย่อนลงมาจากหลังคา ผมคิดว่ามัทธิวน่าจะบันทึกเหตุการณ์ที่น่าสนใจนี้ไว้ แต่ท่านไม่ได้ทำ มัทธิวไม่ได้เล่าเรื่องที่มนุษย์มักสนใจ ท่านประกาศข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ อะไรสำคัญกว่ากัน รู้เรื่องคนง่อยถูกหย่อนมาจากหลังคา หรือรู้ว่าพระเยซูทรงมีอำนาจยกบาปได้? มัทธิวไม่มีเวลาเล่าเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องน่าสนใจก็ตาม เป้าหมายของท่านคือนำเสนอพระกิตติคุณ ข่าวประเสริฐที่พระเมสซิยาห์เสด็จมาเพื่อช่วยคนบาป

ผมอยากให้คุณสังเกตุบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ การตอบสนองของพระเยซูทำให้เห็นถึงความเชื่อของคนอื่นๆด้วย พระเยซูทรงสังเกตุเห็น “ความเชื่อของพวกเขา”:

2นี่‍แน่ะเขา‍ทั้ง‍หลาย​หาม​คน‍ง่อย​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​นอน​อยู่​บน​ที่​นอน​มา‍หาพระ‍องค์เมื่อ​พระ‍เยซู​ทอด‍พระ‍เนตร​เห็น​ความ​เชื่อ​ของ​พวก‍เขาจึง​ตรัส​กับ​คน‍ง่อย​ว่า“ลูก​เอ๋ย จง​ชื่น‍ใจ​เถิดบาป​ของ​เจ้า​ได้​รับ​อภัย​แล้ว” (มัทธิว 9:2)

ผมไม่อยากมองข้ามความจริงว่า “ของพวกเขา” อาจหมายถึงความเชื่อของชายห้าคน ไม่ใช่แค่สี่ ไม่ได้แนะนำว่าชายง่อยได้รับความรอดเพราะความเชื่อส่วนตัวของเขา แต่อยากให้เรามาดูว่ามัทธิวกำลังบอกอะไร – ความเชื่อของชายทั้งสี่มีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาชายง่อย แม้แต่ได้รับการอภัยบาป พระเยซูทรงตอบสนองต่อความเชื่อของคนอื่นๆเมื่อทรงรักษาชายง่อย และอภัยบาปของเขา เป็นคำหนุนใจสำหรับพวกเราที่ควรอธิษฐานให้บ่อยขึ้น และด้วยใจร้อนรนเพื่อผู้อื่น ความเชื่อของผู้ชายกลุ่มนี้ สำแดงออกโดยยื่นมือเข้าไปจัดการและช่วยเหลือเพื่อนที่เป็นง่อย ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับพระพรแห่งการรักษา แต่ยังได้รับการอภัยบาปอีกด้วย คำอธิษฐานของเราเพื่อผู้หลงหายนั้นมีความหมายมาก ผมมองไม่เห็นว่าจะเข้าใจเป็นอื่นไปได้อย่างไร

แต่ทำไมพระเยซูถึงไปไกลเกินกว่าสิ่งที่ผู้ชายกลุ่มนี้ร้องขอ? ผมขอให้เหตุผลสามประการ

ประการแรก เมื่อนำพระวจนะตอนนี้ไปพิจารณาผ่านสิ่งที่ อ เปาโลเขียนถึงชาวเอเฟซัส:

20ขอ​ให้​พระ‍เกียรติ​มี​แด่​พระ‍องค์​ผู้​ทรง​สามารถ​ทำ​ทุก‍สิ่ง​ได้​มาก​ยิ่ง‍กว่า​ที่​เรา​ทูล​ขอ​หรือ​คิดโดย​ฤทธา‌นุ‌ภาพ​ที่​ทำ​กิจ​อยู่​ภาย‍ใน​เรา 21ขอ​ให้​พระ‍เกียรติ​จง​มี​แด่​พระ‍องค์​ใน​คริสต‌จักร​และ​ใน​พระ‍เยซู‍คริสต์​ตลอด‍ทุก‍ชั่ว‍อายุ‍คน​เป็น​นิตย์อา‌เมน (เอเฟซัส 3:20-21)

พระเจ้าทรงนำพระสิริมาสู่พระองค์โดยขยายขอบเขตแห่งพระพรต่อคำทูลขอและ ความคาดหวังของเรา คงไม่ต้องสงสัยว่าพระเจ้าทรงนำพระสิริมาสู่พระองค์โดยทำอัศจรรย์รักษาชาย ง่อย เพราะมีบันทึกอยู่ในพระวจนะตอนนี้ :

8เมื่อ​ฝูง‍ชน​เห็น​ดัง‍นั้นพวก‍เขา​ก็​เกรง‍กลัว แล้ว​พา​กัน​สรร‌เสริญ​พระ‍เจ้าผู้​ประ‌ทาน​สิทธิ‍อำนาจ​เช่น​นั้น​แก่​มนุษย์ (มัทธิว 9:8)

ประการที่สอง ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงอภัยบาปให้ชายคนนี้เพราะทำให้เขามีใจกล้ามาเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้า ผมอ้างจากคำตรัสของพระเยซู “ลูก​เอ๋ย จง​ชื่น‍ใจ​เถิดบาป​ของ​เจ้า​ได้​รับ​อภัย​แล้ว” (มัทธิว 9:2) เราพบถ้อยคำนี้สามแห่งในพระกิตติคุณมัทธิว ในตอนนี้และตามมาในบทเดียวกัน :

20นี่‍แน่ะมี​ผู้‍หญิง​คน​หนึ่ง​เป็น​โรค ​ตก​โลหิต​ได้​สิบ‍สอง​ปี​แล้วแอบ​มา​ข้าง‍หลัง​แตะ‍ต้อง​ชาย‍ฉลอง‍พระ‍องค์ 21เพราะ​นาง​คิด​ใน​ใจ​ว่า “ถ้า​ฉัน​ได้​แตะ‍ต้อง​ฉลอง​พระ‍องค์​เท่า​นั้นฉัน​ก็​จะ​หาย‍โรค” 22พระ‍เยซู​ทรง​เหลียว‍หลัง​ทอด‍พระ‍เนตร​เห็น​เข้าจึง​ตรัส​ว่า“ลูก‍หญิง​ เอ๋ยจง​ชื่น‍ใจ​เถิด ที่​หาย‍โรค​นั้น​ก็​เพราะ​ลูก​เชื่อ” นับ‍ตั้ง‍แต่​เวลา​นั้นผู้‍หญิง​นั้น​ก็​หาย‍ป่วย​เป็น​ปกติ (มัทธิว 9:20-22)

หญิงคนนี้เชื่อว่าเธอจะได้รับการรักษาให้หาย ถ้าเพียงแต่ได้แตะต้องชายฉลองพระองค์ของพระเยซู มีหลายคนได้รับการรักษาโดยแตะชายฉลองของพระองค์ แต่พวกเขาทูลขอก่อน (มัทธิว 9:35-36) ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้กลัวไม่กล้าขอ เธอจึง “แอบ” แตะและได้รับการรักษา พระเยซูไม่ต้องการให้เป็นแค่นั้น พระองค์จึงทรงเรียกเธอ ตอนนี้เธอตกใจจริงๆ เรากล้าดียังไงที่แอบขโมยรับการรักษาแล้วตอนนี้คงต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระ เยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าคนจำนวนมากด้วย? เธอมีความเชื่อจึงได้รับการรักษา แต่ความกลัวทำให้ไม่กล้าเข้าไปไกล้บุตรของพระเจ้า พระเยซูจึงตรัสว่า “จง​ชื่น‍ใจ​เถิด ที่​หาย‍โรค​นั้น​ก็​เพราะ​ลูก​เชื่อ”

คำว่า “จงชื่นใจเถิด” ปรากฎครั้งสุดท้ายในมัทธิวบทที่ 14:

26เมื่อ​สาวก​เห็น​พระ‍องค์​ทรง​ดำ‌เนิน​ มา​บน​ทะเลเขา‍ทั้ง‍หลาย​ก็​แตก‍ตื่น​พูด​กัน​ว่า​ต้อง​เป็น​ผีและ​ร้อง​ ด้วย​ความ​กลัว 27พระ‍เยซู​ตรัส​กับ​พวก‍เขา​ทัน‍ที​ว่า ทำใจดีดีเถิด นี่​เรา​เอง อย่า​กลัว​เลย”(มัทธิว 14:26-27)

พวกสาวกอยู่ในเรือเมื่อพระเยซูเสด็จมาหา ดำเนินมาบนน้ำ พวกเขาไม่รู้ว่านั่นเป็นใคร จึงกลัวกันแทบตาย โทษพวกเขาได้มั้ย? และพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า ทำใจดีดีเถิด นี่​เรา​เอง อย่า​กลัว​เลย” (มัทธิว 14:27ข) เมื่อได้ยิน พวกเขาก็ไม่ได้กลัวผู้ที่ดำเนินมาบนน้ำอีกต่อไป แต่กลับเชิญพระองค์ขึ้นเรือ

ผมเชื่อว่าชายง่อยคนนี้คงกลัวจริงๆ เหมือนหญิงที่โลหิตตก และเหมือนพวกสาวกที่คิดว่าเห็นผี พวกเขากลัวที่จะอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ชายคนนี้คงมีความกล้าระดับหนึ่ง พอที่เชื่อว่าเขาจะได้รับการรักษาให้หาย เขามีความเชื่อในพระเยซู และถ้าเขาคิดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสซิยาห์ ก็เป็นการดีที่สมควรกลัวต่อเบื้องพระพักตร์ เพราะอะไร เพราะละอายต่อความบาป จนไม่กล้าเข้าใกล้พระเมสซิยาห์?

พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกธรรมาจารย์ ซึ่งเราจะได้เห็นต่อไป (ข้อ 4) พระองค์ยังทรงทราบถึงจิตใจของชายทั่งสี่ที่หามแคร่มา (ทรง “เห็น” ความเชื่อของพวกเขา ข้อ 2) แล้วทำไม พระองค์จะไม่ทรงรับรู้ความคิดและความกลัวของชายง่อย? ถ้าชายง่อยคนนี้มีความเชื่อว่าพระเยซูทรงรักษาเขาได้ เขาก็ต้องรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด แล้วคนอย่างเขา คนบาปที่ไม่สมควร จะเข้าไปใกล้บุตรของพระเจ้าและหวังจะได้รับการรักษาได้อย่างไร? เป็นคำถามที่ดีมากๆ เมื่อทรงทราบ พระเยซูทรงขจัดความกลัวออกไปจากเขา ให้กำลังใจ ตรัสบอกเขาว่าบาปของเขาได้รับการอภัยแล้ว ถ้อยคำของพระองค์ปลอบใจและให้ความมั่นใจว่าจะทรงเติมความต้องการฝ่ายวิญญาณ ให้เขา และถ้อยคำต่อจากนั้นเป็นการเติมเต็มความต้องการฝ่ายกาย

ประการที่สาม พระเยซูให้อภัยบาปชายคนนี้เพราะทรงทราบว่าพวกพวกธรรมาจารย์จะแปลความหมายออก พระเยซูกำลังประกาศว่าพระองค์คือพระเจ้า และประกาศต่อหน้าผู้คนอย่างชัดเจนว่าทรงอภัยความบาปให้ชายง่อยคนนี้ได้ พวกธรรมาจารย์ไม่พลาดประเด็นนี้แน่ พวกเขาคิดในแง่ของศาสนศาสตร์ทันที และให้เหตุผลถูกต้องด้วย ใคร​จะ​อภัย‍บาป​ได้​นอก‍จาก​พระ‍เจ้า​เท่า​นั้น?” (ลูกา5:21) บางทีอาจนึกได้ว่าเป็นพระวจนะจากหนังสืออิสยาห์:

25“เรา เรา​เอง​คือ​ผู้​นั้นผู้‍ลบ‍ล้าง​การ​ทรยศ​ของ​เจ้า​ด้วย​เห็น‍แก่​เรา​เอง

และ​เรา​จะ​ไม่​จด‍จำ​บาป​ของ​เจ้า” (อิสยาห์ 43:25)

สังเกตุดูมัทธิวไม่ได้บันทึกคำว่า “ใคร​จะ​อภัย‍บาป​ได้​นอก‍จาก​พระ‍เจ้า​เท่า​นั้น?”เพราะคงไม่มีความจำเป็น ในอีกมุม เราพบถ้อยคำนี้อยู่ในทั้งมาระโกและลูกา ส่วนมัทธิวกลับบันทึกคำกล่าวหาว่า “คน​นี้​หมิ่น‍ประ‌มาท​พระ‍เจ้า” (มัทธิว 9:3) พระเยซูถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะทรงอ้างว่าพระองค์คือพระเจ้า

33 พวก​ยิว​ทูล​ตอบ​พระ‍องค์​ว่า“เรา​จะ​ขว้าง​ท่าน​ไม่​ใช่​เพราะ​การ​ดี​ใดๆ แต่​เพราะ​การ​พูด​หมิ่น‍ประ‌มาท​พระ‍เจ้าเพราะ​ท่าน​เป็น​เพียง​มนุษย์​แต่ ​ตั้ง‍ตัว​เป็น​พระ‍เจ้า” (ยอห์น 10:33) ดู ยอห์น 5:18; 19:17 ด้วย

สังเกตุดูพวกธรรมาจารย์ไม่ได้พูดคำกล่าวหาออกมา หรือท้าทายพระเยซูต่อหน้าฝูงชน ทำไม? ผมคิดว่าเพราะพระเยซูไม่เปิดโอกาสให้ ทรงไม่ทันให้พวกเขาตั้งตัวโดยตีแผ่ความคิดของพวกเขาก่อนที่จะกล้าประท้วง และนี่คืออีกบทพิสูจน์ว่าพระองค์คือบุตรของพระเจ้า

ตรรกะของพวกธรรมาจารย์นั้นไม่มีตำหนิ พวกเขาพูดไปตามที่วินิจฉัย แต่พวกเขาจะกล้าไปตามหลักฐานที่เกิดขึ้นจนที่สุดหรือ? แรก พระเยซูทรงประกาศอย่างตรงๆว่าทรงมีอำนาจยกบาปได้ โดยการยกโทษบาปให้ชายที่เป็นง่อย และทรงตีแผ่ความคิดภายในของพวกธรรมาจารย์ ที่ต่อต้านคำประกาศนี้ด้วยข้อหาดูหมิ่นพระเจ้า จากนั้นพระองค์ทรงทดสอบให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระองค์ “…​ที่​พูด​กับ​คน‍ง่อย​ว่า ‘บาป​ต่างๆ ของ​ท่าน​ได้​รับ​การ​อภัย​แล้ว’ กับ​การ​พูด​ว่า ‘จง​ลุก‍ขึ้น​ยก​แคร่​เดิน​ไป​เถิด’ แบบ​ไหน​จะ​ง่าย​กว่า​กัน?

ถ้าเป็นสมัยนี้เราคงใช้คำว่า “หุบปากไปเลย” แปลว่าถ้าพิสูจน์คำพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด ตรงนี้พระเยซูไม่ได้พูดเกี่ยวกับความสามารถเอ่ยคำพูดบางคำออกมา พระองค์กำลังถามว่า “ใครจะสามารถพูดถ้อยคำนี้และแสดงให้เห็นว่าคำพูดของเขาสำเร็จลงตามที่พูด?” ในแง่นั้น มันง่ายกว่าหรือไม่ที่จะพูดว่า “บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว แทนที่จะพูดว่า “จงลุกขึ้นเดินไปเถิด” คุณไม่อาจเห็นผลทันทีเรื่องการอภัยบาป เพราะเป็นเรื่องจิตใจภายใน จะเห็นผลได้ต้องใช้เวลา5 ดังนั้นจึงง่ายกว่าที่จะพูดเช่นนั้น เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตา แต่ถ้าพระเยซูตรัสว่า “จงลุกขึ้นเดินไปเถิด” พระองค์ต้องรับรองสิ่งที่ตรัสด้วยการรักษาชายคนนี้ในทันที หรือกลายเป็นว่าคำตรัสของพระองค์นั้นว่างเปล่า

พระเยซูทรงพิสูจน์ตนเองในสิ่งที่พระองค์ตรัส แต่ใช้วิธีที่แยบยล ทรงเชื่อมโยงการอัศจรรย์รักษาโรค เข้ากับสิทธิอำนาจในการยกบาป ตรรกะนี้ทำให้พวกธรรมจารย์คิดออกว่า ไม่มีใครยกบาปได้เว้นแต่พระเจ้า ทำให้พวกเขาสรุปได้ว่าพระเยซูคือพระเจ้านั่นเอง ถ้าพระองค์อภัยบาปได้ และตอนนี้พระองค์ทรงเชื่อมโยงอีกตรรกะเข้าไป – ถ้าพระองค์ทรงรักษาชายง่อยนี้ได้ (ซึ่งมองดูยากกว่า) ที่แน่ๆคือทรงอภัยบาปให้ได้ (ซึ่งดูง่ายกว่า) ถ้าพระเยซูทรงรักษาชายง่อยได้ พระองค์ก็ต้องเป็นพระเจ้า

พระเยซูจึงหันไปหาชายง่อยและตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ยกที่นอนกลับไปบ้านของท่าน” (ข้อ 7) ชายง่อยจึงลุกขึ้นและกลับบ้านไปตามคำสั่งของพระเยซู สรุปได้เพียงอย่างเดียว – พระเยซูต้องเป็นพระเจ้า แต่ดูเหมือนคนไม่เข้าใจ พวกธรรมาจารย์เงียบกริบ ฝูงชนประทับใจมาก แต่พวกเขามองไม่ออกว่าพระเยซูคือพระเจ้า:

เมื่อ​ฝูง‍ชน​เห็น​ดัง‍นั้น พวก‍เขา​ก็​เกรง‍กลัว แล้ว​พา​กัน​สรร‌เสริญ​พระ‍เจ้า ผู้​ประ‌ทาน​สิทธิ‍อำนาจ​เช่น​นั้น ​แก่มนุษย์ (มัทธิว 9:8)

ฝูงชนมองว่านี่เป็นการงานของพระเจ้า และดูจะรับรู้แค่ว่าพระเยซูเป็น “คนของพระเจ้า” ไม่ได้ตระหนักว่าพระองค์เองคือพระเจ้า พวกเขาสรรเสริญพระเจ้า (แต่ไม่ใช่พระเยซูในฐานะพระเจ้า) ที่ได้ประทานสิทธิอำนาจนั้นให้ “แก่มนุษย์” พระเยซูจึงเป็นแค่มนุษย์ในสายตาพวกเขา ซึ่งอาจได้รับอำนาจบางอย่างจากพระเจ้า ผมคิดว่าน่าจะหมายความว่าพวกเขาเห็นพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ เหมือนกับชายที่เกิดมาตาบอด (จนกระทั่งพระเยซูบอกเขาอีกแบบ) :

17 พวก‍เขา ​จึง​พูด​กับ​คน‍ตา‍บอด​อีก​ว่า “เจ้า​คิด​อย่าง‍ไร​เรื่อง​คน‍นั้น ใน​เมื่อ​เขา​ทำ​ให้​ตา​ของ​เจ้า​หาย​บอด?” ชาย​คน‍นั้น​ตอบ​ว่า “ท่าน​เป็น​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ” … 30ชาย ​คน‍นั้น​ตอบ​ว่า “เออ ประ‌หลาด​จริงๆ นะ​ที่​พวก‍ท่าน​ไม่​รู้​ว่า​คน​นั้น​มา​จาก​ไหน แต่​เขา​ก็​ทำ​ให้​ตา​ของ​ข้าพ‌เจ้า​หาย​บอด​ได้ 31เรา​รู้​ว่า​พระ‍เจ้า​ไม่​ทรง​ฟัง​คน‍บาป แต่​ทรง​ฟัง​คน​ที่​ยำ‌เกรง​พระ‍องค์​และ​ทำ​ตาม​พระ‍ทัย​ของ​พระ‍องค์ 32ตั้ง‍แต่​สมัย​ไหนๆ ก็​ไม่​เคย​มี​ใคร​ได้‍ยิน​ว่า​มี​คน​สามารถ​ทำ​ให้​ตา​ของ​คน​ที่​บอด​แต่​ กำ‌เนิด​มอง‍เห็น​ได้ 33ถ้า​คน​นั้น​ไม่‍ได้​มา​จาก​พระ‍เจ้า เขา​จะ​ไม่​สามารถ​ทำ​ได้” (ยอห์น 9:17; 30-33)

เราไม่ควรชี้นิ้วด่วนสรุปเอาในตอนนี้ ผมไม่เชื่อว่าพวกสาวกมองเห็นนัยในการอัศจรรย์รักษาโรค เพราะเปโตรเองกว่าจะ “ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์” ก็เข้ามัทธิวบทที่ 16 แล้ว

ผมอยากพูดอีกเรื่องเกี่ยวกับชายง่อยก่อนจะไปเรื่องถัดไป พระเยซูไม่ได้ทรงใช้ชายง่อยนี้ แต่ทรงเป็นห่วงเขา ถึงพระองค์จะใช้สถานการณ์นี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์ไม่เพียงแต่มีฤทธิ อำนาจในการรักษา แต่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ด้วยการอภัยให้ แต่พระเยซูไม่ได้ “ใช้” ชายง่อยคนนี้ในแบบที่พวกผู้นำศาสนาคิด ลองเปรียบเทียบกับพระวจนะตอนนี้ในพระกิตติคุณมัทธิว กับมาระโก:

1แล้ว​พระ‍องค์​เสด็จ​เข้า​ไป​ใน​ ธรรม‍ศาลา​อีก และ​มี​คน​ที่​มือ​ข้าง‍หนึ่ง​ลีบ​อยู่​ที่​นั่น 2คน​เหล่า‍นั้น​คอย​เฝ้า‍ดู​ว่า พระ‍องค์​จะ​รักษา​โรค​ให้​คน‍นั้น​ใน​วัน‍สะ‌บา‌โต​หรือ​ไม่ เพื่อ​จะ​หา​เหตุ​ฟ้อง​พระ‍องค์ 3พระ‍องค์​ตรัส​กับ​คน​มือ​ลีบ​ว่า “มา​ข้าง‍หน้า​เถอะ” 4แล้ว ​พระ‍องค์​ตรัส​กับ​คน​ทั้ง‍หลาย​ว่า “ใน​วัน‍สะ‌บา‌โต​ควร​จะ​ทำ​การ​ดี​หรือ​ทำ​การ‍ร้าย ควร​จะ​ช่วย​ชีวิต​หรือ​ทำ‍ลาย​ชีวิต?” คน​ทั้ง‍หลาย​ก็​นิ่ง​อยู่ 5พระ‍องค์ ​ทอด‍พระ‍เนตร‍ดู​รอบๆ ด้วย​พระ‍พิโรธ​และ​เสีย​พระ‍ทัย ที่​จิต‍ใจ​ของ​พวก‍เขา​กระ‌ด้าง แล้ว​พระ‍องค์​ตรัส​กับ​ชาย​คน​นั้น​ว่า “จง​เหยียด​มือ​ออก​เถิด” เขา​ก็​เหยียด​ออก และ​มือ​ของ​เขา​ก็​หาย​เป็น​ปกติ 6พวก​ฟาริสี​จึง​ออก​ไป​และ​ปรึก‌ษา​กับ​พรรค‍พวก​ของ​เฮ‌โรด​ทัน‍ที​ว่า​ทำ ​อย่าง‍ไร​พวก‍เขา​ถึง​จะ​ฆ่า​พระ‍องค์​ได้ (มาระโก 3:16)

พวกธรรมาจารย์และฟาริสีไม่ได้เป็นห่วงผู้คน พวกเขาขาดความเมตตาสงสาร (ซึ่งเป็นประเด็นของพระเยซูในมัทธิว 9:13) ดูความใจดำของพวกเขาที่มีต่อคนที่กำลังทนทุกข์:

10ขณะ‍ที่​พระ‍เยซู​ทรง​สั่ง‍สอน​อยู่​ ที่​ธรรม‍ศาลา​แห่ง‍หนึ่ง​ใน​วัน‍สะ‌บา‌โต 11 มี​ผู้‍หญิง​คน​หนึ่ง​ที่​มี​ผี​เข้า‍สิง​ซึ่ง​ทำ​ให้​นาง​เป็น​โรค​มา​ สิบ‍แปด​ปี​แล้ว​อยู่​ที่​นั่น​ด้วย หลัง​ของ​นาง​ก็​โกง ยืด​ตัว​ขึ้น​ไม่‍ได้​เลย 12เมื่อ ​พระ‍เยซู​ทอด‍พระ‍เนตร​เห็น​จึง​ทรง​เรียก​และ​ตรัส​กับ​นาง​ว่า “หญิง​เอ๋ย เธอ​ได้​รับ​การ​ปลด‍ปล่อย​ให้​พ้น​จาก​โรค​ของ​เธอ​แล้ว” 13เมื่อ​พระ‍องค์​วาง​พระ‍หัตถ์​บน​ตัว​นาง ทัน‍ใด​นั้น​นาง​ก็​ยืด​ตัว‍ตรง​ได้และ​สรร‌เสริญ​พระ‍เจ้า 14แต่ ​นาย‍ธรรม‍ศาลา​ไม่​พอ‍ใจ เพราะ​พระ‍เยซู​ทรง​รักษา​โรค​ใน​วัน‍สะ‌บา‌โต จึง​พูด​กับ​ฝูง‍ชน​ว่า “มี​ถึง​หก​วัน​สำหรับ​ทำ‍งาน จง​มา​และ​รับ​การ​รักษา​โรค​ภาย‍ใน​หก​วัน‍นั้น อย่า​ทำ​ใน​วัน‍สะ‌บา‌โต” 15แต่ ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ตรัส​ตอบ​เขา​ว่า “โอ พวก​หน้า‍ซื่อ‍ใจ‍คด พวก‍ท่าน​ทุก​คน​ก็​ปล่อย​วัว​ปล่อย​ลา​ออก​จาก​คอก​ของ​มัน​พา​ไป​กิน​น้ำ​ ใน​วัน‍สะ‌บา‌โต​ไม่​ใช่​หรือ? 16ผู้​หญิง​คน​นี้​เป็น​บุตร‍สาว​ของ​อับ‌รา‌ฮัม​ซึ่ง​ถูก​ซา‌ตาน​ผูก‍มัด​ ไว้​ ถึง​สิบ‍แปด​ปี​แล้ว ไม่‍ควร​หรือ​ที่​จะ​ให้​นาง​หลุด​พ้น​จาก​เครื่อง‍จำ‍จอง​นี้​ใน วัน‍สะ‌บา‌โต?” 17เมื่อ​พระ‍องค์​ตรัส​อย่าง​นั้น​แล้ว พวก​ที่​เป็น​ศัตรู​กับ​พระ‍องค์​ก็​ได้​รับ​ความ​อับอาย แต่​ฝูง‍ชน​ทั้ง‍หมด​ชื่น‍ชม​ยินดี​กับ​คุณ‍ความ‍ดี​ทุก‍ประ‌การ​ที่​ พระ‍องค์​ทรง​ทำ (ลูกา 13:10-17)

พระเยซูทรงมีพระทัยเมตตาสงสารชายง่อย พระองค์ไม่เพียงแต่รักษาอาการของโรค แต่ทรงอภัยบาปให้ด้วย ขณะที่พระเยซูทรงใช้สถานการณ์นี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์มีสิทธิอำนาจยก บาปได้ พระองค์ไม่ได้ทำโดยใช้ชายคนนี้ ทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์แบบ วิน-วิน

พระเยซูและมัทธิว – คนบาปที่ถูกเรียกมาเป็นสาวก (มัทธิว 9:9-13)

9เมื่อ ​พระ‍เยซู​เสด็จ​เลย​ตำบล​นั้น​ไป ก็​ทอด‍พระ‍เนตร​เห็น​คน​หนึ่ง​ชื่อ​มัท‌ธิว​นั่ง​อยู่​ที่​ด่าน‍ภาษี จึง​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “จง​ตาม​เรา​มา​เถิด” เขา​ก็​ลุก‍ขึ้น​ตาม​พระ‍องค์​ไป 10เมื่อ​พระ‍องค์​ประ‌ทับ​และ​เสวย​อาหาร​ อยู่​ใน​บ้าน มี​คน‍เก็บ‍ภาษี​และ​คน‍บาป​อื่นๆ หลาย​คน เข้า‍มา​ร่วม​รับ‍ประ‌ทาน​อาหาร​กับ​พระ‍เยซู และ​กับ​บรร‌ดา​สาวก​ของ​พระ‍องค์ 11เมื่อ ​พวก​ฟาริสี​เห็น​แล้ว ก็​กล่าว​กับ​พวก​สาวก​ของ​พระ‍องค์​ว่า “ทำไม​อา‌จารย์​ของ​พวก‍ท่าน​จึง​รับ‍ประ‌ทาน​อาหาร​ด้วย‍กัน​กับ​พวก​ คน‍เก็บ‍ภาษี และ​พวก​คน‍บาป?” 12เมื่อ​พระ‍เยซู​ทรง​ได้‍ยิน​แล้ว​ก็​ตรัส​ว่า “คน​แข็ง‍แรง​ไม่​ต้อง‍การ​หมอ แต่​คน​เจ็บ‍ป่วย​ต้อง‍การ 13ท่าน​จง​ไป​เรียน​ความ‍หมาย​ของ​คัมภีร์​ข้อ​นี้ ที่​ว่า ‘เรา​ประ‌สงค์​ความ​เมตตา ไม่​ประ‌สงค์​เครื่อง‍สัตว‌บูชา’ ด้วย‍ว่า​เรา​ไม่‍ได้​มา​เพื่อ​เรียก​คน​ชอบ‍ธรรม แต่​มา​เรียก​คน‍บาป” (มัทธิว 9:9-13)

ถึงจะไม่ควร แต่อดคิดไม่ได้ว่าอะไรตรงนี้ที่ขาดหายไป พระเยซูทรงผ่านบูธเก็บภาษีของมัทธิวไปกี่หน? และกี่หนที่มัทธิวได้ยินคำสอนของพระองค์ เห็นพระองค์ทำอัศจรรย์รักษาคนป่วย? มัทธิวเคยคิดอยากติดตามพระเยซูมาสักพักหรือเปล่า? ไม่มีบันทึกไว้ แต่มีบันทึกว่าเขาเป็นคนเก็บภาษี เป็นอาชีพที่ถูกมองว่าต่ำที่สุดแล้วในยุคนั้น

17 “ถ้า ​เขา​ไม่​ฟัง​คน​เหล่า‍นั้น จง​ไป​แจ้ง​ต่อ​คริสต‌จักร ถ้า​เขา​ยัง​ไม่​ฟัง​คริสต‌จักร​อีก ก็​ให้​ถือ‍ว่า​เขา​เป็น​เหมือน​คน‍ต่าง‍ชาติ​หรือคน‍เก็บ‍ภาษี” (มัทธิว 18:17)

1เมื่อ​พระ‍เยซู​เสด็จ​เข้า​ไป​ใน​เมือง​ เย‌รี‌โค​และ​กำลัง​เสด็จ​ผ่าน​ไป​ตาม‍ทาง 2มี​ชาย​คน​หนึ่ง​ชื่อ​ศัก‌เคียส​อยู่​ที่​นั่น เขา​เป็น​นาย‍ด่าน‍ภาษี​และ​เป็น​คน‍มั่ง‍มี 3เขา​พยา‌ยาม​จะ​ดู​ว่า​พระ‍เยซู​เป็น​ใคร แต่​คน​มาก​จึง​มอง​ไม่​เห็น เพราะ​เขา​เป็น​คน‍เตี้ย 4เขา​จึง​วิ่ง​ไป​ข้าง‍หน้า ปีน‍ขึ้น​ต้น‍มะเดื่อ​เพื่อ​จะ​ได้​มอง‍เห็น​พระ‍องค์ เพราะ‍ว่า​พระ‍องค์​กำลัง​จะ​เสด็จ​ผ่าน​ทาง​นั้น 5เมื่อ ​พระ‍เยซู​เสด็จ​มา​ถึง​ที่​นั่น พระ‍องค์​แหงน​พระ‍พักตร์​ดู​ศัก‌เคียส​แล้ว​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ศัก‌เคียส​เอ๋ย จง​รีบ​ลง‍มา เพราะ‍ว่า​วัน‍นี้​เรา​จะ​ต้อง​พัก​อยู่​ใน​บ้าน​ของ​ท่าน” 6แล้ว​เขา​ก็​รีบ​ลง‍มา​ต้อน‍รับ​พระ‍องค์​ด้วย​ความ​ชื่น‍ชม​ยินดี 7ทุก​คน​ที่​เห็น​แล้ว​ก็​พา​กัน​บ่น​และ​กล่าว​ว่า “ท่าน​ผู้‍นี้​จะ​เข้า​ไป​พัก​อยู่​กับ​คน‍บาป” 8ส่วน ​ศัก‌เคียส​นั้น​ยืน​ขึ้น​ทูล​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ว่า “องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า ทรัพย์​สิ่ง‍ของ​ของ​ข้า‍พระ‍องค์ ข้า‍พระ‍องค์​ยอม​ให้​คน​ยาก‍จน​ครึ่ง‍หนึ่ง และ​ถ้า​ข้า‍พระ‍องค์​โกง​อะไร​ของ​ใคร​มา ก็​ยอม​คืน​ให้​เขา​สี่​เท่า” 9พระ‍เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “วัน‍นี้​ความ​รอด​มา​ถึง​บ้าน​นี้​แล้ว เพราะ​คน‍นี้​เป็น​ลูก​ของ​อับ‌รา‌ฮัม​ด้วย 10เพราะ‍ว่า​บุตร‍มนุษย์​มา​เพื่อ​จะ​แสวง‍หา​และ​ช่วย​ผู้​ที่​หลง‍หาย​ไป​ นั้น​ให้​รอด (ลูกา 19:1-10)

ในหนังสือพระกิตติคุณเหมือนแต่ละเล่ม 6 เรารู้เพียงว่าพระเยซูทรงเรียกให้มัทธิวตามพระองค์ไป และเขาก็ตามพระองค์ไปในทันที คุณนึกภาพการตัดสินใจแบบนี้ออกหรือไม่? มันดูเสี่ยงที่จะออกจากงานแบบกะทันหันหรือเปล่า ผมคงไม่อยากเป็นมัทธิว กลับไปบ้าน เจอภรรยา : “ที่รักจ๊ะ มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ผมเพิ่งลาออกจากงานเพื่อติดตามพระเยซูไป แล้วเดี๋ยวเย็นนี้จะมีคนกลุ่มใหญ่มาทานข้าวที่บ้าน” งานที่มัทธิวทำรายได้ดี และมีโอกาส “ก้าวหน้า” สูง โดยการเป็นคนเก็บภาษี ตอนนี้มัทธิวเข้าสู่โหมดตกงาน และวางอนาคตตนเองไว้กับลูกช่างไม้ยากจน

ผมคิดว่าที่มัทธิวเล่าเรื่องนี้มีเหตุผลหลายประการ ข้อแรก – ให้ข้อมูลเบื้องหลังการทรงเรียกสาวกคนหนึ่งของพระเยซู 7 ข้อสอง – เป็นการย้ำให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเยซูอีกครั้ง พระเยซูทรงขับผีหลายตัวออกไปด้วยคำตรัส (มัทธิว 8:16) และตอนนี้ทรงเรียกสาวก ที่ทิ้งการงานแค่ได้ยินคำตรัสของพระองค์ ข้อสาม การทรงเรียกของมัทธิวกลายเป็นเหตุให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในท่ามกลางคนบาป แต่เป็นเรื่องหนักใจสำหรับพวกฟาริสี (ข้อ 10-12) 8นี่เป็นโอกาสให้พระเยซูทรงชี้ให้เห็นถึงพระประสงค์เบื้องต้นที่เสด็จลงมา (ข้อ 13)

การเปลี่ยนอาชีพของมัทธิวไม่ได้ตัดสินใจแบบกัดฟันทำ หรือรีรอไม่แน่ใจ แต่เป็นโอกาสแห่งความปิติยินดี ลูกาชี้ให้เห็นชัดเจนว่างานเลี้ยงฉลองนั้นไม่ใช่มีเพื่อมัทธิวคนเดียว แต่มัทธิวเป็นเจ้าภาพจัดงาน:

27หลัง‍จาก ​เหตุ‍การณ์​เหล่า‍นั้น​แล้ว พระ‍องค์​เสด็จ​ออก​ไป และ​ทอด‍พระ‍เนตร​เห็น​คน‍เก็บ‍ภาษี​คน​หนึ่ง​ชื่อ​เลวี​นั่ง​อยู่​ที่​ ด่าน‍ภาษี จึง​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “จง​ตาม​เรา​มา​เถิด” 28เขา​ก็​ลุก‍ขึ้น สละ‍ทิ้ง​ทุก‍สิ่ง​และ​ตาม​พระ‍องค์​ไป 29แล้ว​เลวี​ก็​จัด‍งาน‍เลี้ยง​ใหญ่​เพื่อ​พระ‍องค์​ใน​บ้าน​ของ​ตน มี​คน‍เก็บ‍ภาษี​กลุ่ม​ใหญ่​และ​คน​อื่นๆ มา​ร่วม​ใน​งาน​นั้น​ด้วย (ลูกา 5:27-29)

การติดตามพระเยซูเป็นเหตุแห่งความปิติยินดี และต้องเฉลิมฉลอง มัทธิวจึงเชิญเพื่อนๆมาร่วมฉลอง – เพื่อนในสายงานเก็บภาษี และคนบาป สิ่งนี้รบกวนจิตใจคนบางพวกมาก:

เมื่อ​พวก​ฟาริสี​เห็น​แล้ว ก็​กล่าว​กับ​พวก​สาวก​ของ​พระ‍องค์​ว่า “ทำไม​อา‌จารย์​ของ​พวก‍ท่าน​จึง​รับ‍ประ‌ทาน​อาหาร​ด้วย‍กัน​กับ​พวก​ คน‍เก็บ‍ภาษี และ​พวก​คน‍บาป?” (มัทธิว 9:11)

มีข้อสังเกตหลายประการดังนี้ ประการแรก – มีแต่พวกฟาริสีที่ไม่เห็นด้วย ในกรณีอภัยบาปให้ชายที่เป็นง่อย ตอนนั้นพวกธรรมาจารย์ไม่เห็นด้วย (อย่างน้อยก็ในความคิด) ตอนนี้ ในกรณีที่เรียกมัทธิว ฟาริสีเป็นพวกที่ไม่เห็นด้วย ตอนนี้ถึงกับออกปากบ่นให้สาวกพระเยซูฟัง แต่ไม่ได้พูดกับพระเยซู (ข้อ 11) ธรรมาจารย์ในยุคนั้นก็คือนักศาสนศาสตร์ คงเดาได้ว่าพวกเขากังวลเกี่ยวกับหลักศาสนศาสตร์ในสิ่งที่พระเยซูตรัสกับชาย ง่อย พวกฟาริสีในยุคนั้นคือพวกทำตัวบริสุทธิ์ แยกตัวออกมา คงไม่ต้องสงสัยว่ามันรบกวนใจพวกเขามาก พระเยซูทรงไปสมาคมกับพวก “คนบาป” มากกว่ากับพวกเขา (“เหล่าคนชอบธรรม”)

ประการที่สอง – งานฉลองนี้ดูเหมือนพระเยซูทรงเป็นแขกเกียรติยศ คนเก็บภาษีและคนบาปมาร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซูและพวกสาวกของพระองค์ คนบาปรวมกลุ่มกันจัดงานเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่พระเยซูไปร่วมงานในฐานะแขกเกียรติยศนับเป็นอีกเรื่อง คนเหล่านี้กำลังเฉลิมฉลองที่พระองค์ประทับอยู่ด้วย ผมเชื่อว่า นี่คือการลิ้มรสชาตของสวรรค์ที่ปลายลิ้น เมื่อบรรดาธรรมิกชนทั้งหลายจะมานั่งร่วมสำรับกับพระผู้ช่วยให้รอด

ประการที่สาม – เราควรสังเกตพวกฟาริสี เช่นเดียวกับพวกธรรมาจารย์ก่อนหน้า ถูกต้อง – อย่างน้อยก็ทางด้านเทคนิค ธรรมาจารย์ถูกต้องที่ให้เหตุผลว่าไม่มีใครสามารถยกโทษบาปได้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้น พวกฟาริสีนั้นถูกในแง่ที่สรุปว่าคนที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซูคือคนบาป มัทธิวเองที่เรียกพวกเขาว่า “คนเก็บภาษีและคนบาป” (ข้อ 10) พระเยซูเองไม่ได้คิดจะแก้ไขสิ่งที่พวกเขาประเมินด้วย:

12เมื่อ​พระ‍เยซู​ทรง​ได้‍ยิน​แล้ว​ก็​ ตรัส​ว่า “คน​แข็ง‍แรง​ไม่​ต้อง‍การ​หมอ แต่​คน​เจ็บ‍ป่วย​ต้อง‍การ 13ท่าน​จง​ไป​เรียน​ความ‍หมาย​ของ​คัมภีร์​ข้อ​นี้ ที่​ว่า ‘เรา​ประ‌สงค์​ความ​เมตตา ไม่​ประ‌สงค์​เครื่อง‍สัตว‌บูชา’ ด้วย‍ว่า​เรา​ไม่‍ได้​มา​เพื่อ​เรียก​คน​ชอบ‍ธรรม แต่​มา​เรียก​คน‍บาป” (มัทธิว 9:12-13)

จึงเป็นโอกาสอีกครั้ง ให้พระเยซูได้อธิบายถึงพระประสงค์ที่เสด็จมาบนโลก แม้พวกฟาริสีไม่ได้มาเผชิญหน้ากับพระเยซู แต่พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาต่อต้าน จึงไปเผชิญหน้ากับพวกเขา พวกเขาพลาดประเด็นสำคัญ ในมัทธิว 8:17 พันธกิจการรักษาโรคถูกแปลไปตามพระวจนะในอิสยาห์ 53:4 รักษาโรคและที่สำคัญกว่าให้อภัยบาป เป็นพระประสงค์ของพระเยซูที่สละพระชนม์เพื่อชดใช้บาปที่บนกางเขน เมื่อทรงอภัยบาปให้กับชายง่อยในบทที่ 9 เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างพันธกิจแห่งการรักษา โรค และพันธกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า – ให้อภัยคนบาป สิ่งแรกที่ฝ่ายตรงข้ามพระองค์ต่อต้านคือการยกโทษบาป และการไปสามัคคีธรรมกับพวกคนบาป

ถ้าพระเยซูมาทำให้คำพยากรณ์ในอิสยาห์ 53 สำเร็จลง พระองค์จะไม่อภัยให้คนบาปได้อย่างไร? แล้วทำไมพวกฟาริสีถึงไม่พอใจที่พระเยซูไปคบหากับพวกคนบาป? เป็นเพราะพวกเขามองว่าตนเองเป็นคนชอบธรรม พระวจนะจากพระกิตติคุณลูกาน่าจะเกี่ยวข้องและเหมาะกับเรื่องนี้ที่สุด :

9สำหรับ​บาง‍คน​ที่​เชื่อ‍มั่น​ใน​ตัว​ เอง​ว่า​เป็น​คน​ชอบ‍ธรรม​และ​ดู‍หมิ่น​คน​อื่น​นั้น พระ‍องค์​ตรัส​อุปมา​นี้​ว่า 10“มี​สอง​คน​ขึ้น​ไป​อธิษ‌ฐาน​ใน​บริ‌เวณ​พระ‍วิหาร คน​หนึ่ง​เป็น​ฟาริสี​และ​คน​หนึ่ง​เป็น​คน‍เก็บ‍ภาษี 11คน ​ที่​เป็น​ฟาริสี​นั้น​ยืน​อยู่​คน​เดียว​อธิษ‌ฐาน​ว่า ‘ข้า‍แต่​พระ‍เจ้า ข้า‍พระ‍องค์​ขอบ‍พระ‍คุณ​พระ‍องค์​ที่​ข้า‍พระ‍องค์​ไม่​เหมือน​คน‍อื่น​ ที่​เป็น​คน​ฉ้อ‍โกง เป็น​คน​อธรรม และ​เป็น​คน​ล่วง‍ประ‌เวณี และ​ไม่​เหมือน​คน‍เก็บ‍ภาษี​คน‍นี้ 12ข้า‍พระ‍องค์​ถือ​อด‍อาหาร​สอง​วัน​ต่อ​สัปดาห์ และ​สิ่ง​สาร‌พัด​ที่​ข้า‍พระ‍องค์​หา​ได้ ข้า‍พระ‍องค์​ก็​เอา​ทศางค์​มา​ถวาย​เสมอ’ 13ส่วน ​คน‍เก็บ‍ภาษี​นั้น​ยืน‍อยู่‍แต่‍ไกล ไม่​ยอม​แม้​แต่​แหงน​หน้า​ดู​ฟ้า แต่​ตี‍อก​ชก​ตัว​กล่าว​ว่า ‘ข้า‍แต่​พระ‍เจ้า ขอ​ทรง​เมตตา​แก่​ข้า‍พระ‍องค์​ผู้​เป็น​คน‍บาป​เถิด’ 14เรา ​บอก​พวก‍ท่าน​ว่า คน‍นี้​แหละ​เมื่อ​กลับ‍ลง‍ไป​ถึง​บ้าน​ของ​ตน​ก็​ถูก​นับ‍ว่า​เป็น​คน​ ชอบ‍ธรรม ไม่‍ใช่​อีก‍คน‍หนึ่ง​นั้น เพราะ‍ว่า​ทุก‍คน​ที่​ยก​ตัว​ขึ้น​จะ​ต้อง​ถูก​เหยียด​ลง แต่​ทุก‍คน​ที่​ถ่อม‍ตัว​ลง​จะ​ได้​รับ​การ​ยก​ขึ้น (ลูกา 18:9-14)

พวกฟาริสีมองว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม และมองว่าความชอบธรรมของตนเองนั้นเป็นผลมาจากการรักษาธรรมบัญญัติ และรักษาตนให้สะอาดไม่มีมลทินจากการไปคบกับพวกคนบาป พระเยซูทรงละเมิดกฎทุกข้อ เท่าที่พวกเขาเห็น แต่ไม่ใช่พระเยซูที่เป็นฝ่ายผิด พวกฟาริสีต่างหากที่ผิด พวกเขาต้องกลับไปใคร่ครวญพระคัมภีร์เดิม เพราะพระเยซูทรงเป็นผู้มาทำให้คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จลงในฐานะพระ เมสซิยาห์ นี่เป็นสาระสำคัญของพระกิตติคุณมัทธิว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฟาริสีต้องกลับไปทบทวนสิ่งที่โฮเชยาหมายถึงเมื่อท่านเขียนว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา” (มัท ธิว 9:13) พระเยซูทรงอ้างจากโฮเชยา 6:6 มีเรื่องให้เรียนได้มากมายจากพระวจนะตอนนี้ในโฮเชยา และบริบทโดยรอบ มากกว่าที่จะเรียนกันในบทนี้ แต่ขอชี้หลายสิ่งให้เห็น ข้อแรก – คำกล่าวโทษสำหรับทั้งอิสราเอล (เอฟราอิม) และยูดาห์ สำหรับความบาปของพวกเขา และเตือนถึงการพิพากษาที่กำลังมาถึง:

8จง​เป่า​เขา​สัตว์​ใน​กิ‌เบ‌อาห์
จง​เป่า​แตร​ใน​รา‌มาห์
จง​ร้อง‍ตะ‌โกน​ที่​เบ‌ธา‌เวน
โอ เบน‌ยา‌มิน​เอ๋ย จง​มอง​ไป​ข้าง‍หลัง​เจ้า
9ใน​วัน‍ที่​ลง‍โทษ​นั้น
เอฟ‌รา‌อิม​จะ​ร้าง‍เปล่า
เรา​ประ‌กาศ​สิ่ง​ที่​เป็น​จริงท่าม‍กลาง​เผ่า​ต่างๆ ของ​อิสรา‌เอล
10เจ้า‍นาย​ของ​ยู‌ดาห์​ได้​กลาย​เป็น​เหมือน​คน​ที่​ย้าย​หลัก‍เขต
เรา​จะ​เท​ความ​กริ้ว​ของ​เรา​เหนือ​เขา​เหมือน​อย่าง​เท​น้ำ (โฮเชยา 5:8-10)

ข้อสอง – คำกล่าวโทษนี้เจาะจงรวมเอาผู้นำของทั้งอิสราเอลและยูดาห์:

1โอ ปุ‌โร‌หิต​ทั้ง‍หลาย จง​ฟัง​ข้อ​นี้
โอ พงศ์‍พันธุ์​อิสรา‌เอล​เอ๋ย จง​สดับ
โอ ราช‌วงศ์​กษัตริย์ จง​เงี่ย‍หู​ฟัง
เพราะ​เจ้า​ทั้ง‍หลาย​จะ​ถูก​พิพาก‌ษา
เพราะ​เจ้า​เป็น​กับ‍ดัก​ที่​เมือง​มิส‌ปาห์
และ​เป็น​ข่าย​กาง​อยู่​เหนือ​เมือง​ทา‌โบร์ (โฮเชยา 5:1)

10เจ้า‍นาย​ของ​ยู‌ดาห์​ได้​กลาย​เป็น​เหมือน​คน​ที่​ย้าย​หลัก‍เขต
เรา​จะ​เท​ความ​กริ้ว​ของ​เรา​เหนือ​เขา​เหมือน​อย่าง​เท​น้ำ
11เอฟ‌รา‌อิม​ถูก​บีบ‍บัง‍คับ และ​ถูก​ขยี้​ด้วย​การ​ทำ​โทษ
เพราะ​เขา​ตั้ง‍ใจ​ติด‍ตาม​อาจม (โฮเชยา 5:10-11)

9เหล่า​โจร​ซุ่ม‍คอย​ดัก​คน​ฉัน‍ใด
พวก​ปุ‌โร‌หิต​ก็​ซุ่ม‍คอย​ฉัน‍นั้น
เขา​ฆ่า​คน​ระหว่าง​ทาง​ไป​เช‌เคม
แท้‍จริง เขา​ก่อ​อาชญา‌กรรม (โฮเชยา 6:9)

ข้อสาม – เป็นการเรียกให้สำนึกผิดกลับใจ และพระสัญญาแห่งการคืนสู่สภาพดี :

15เรา​จะ​กลับ‍มา​ยัง​สถาน‍ที่​ของ​เรา​ อีก จน‍กว่า​เขา​จะ​ยอม‍รับ​ความ​ผิด​ของ​เขา​และ​แสวง​หา​หน้า​ของ​เรา เมื่อ​เขา​รับ​ความ​ทุกข์‍ร้อน เขา​จะ​แสวง​หา​เรา

1“มา​เถิด ให้​เรา​กลับ​ไป​หา​พระ‍ยาห์‌เวห์
เพราะ​ว่า​พระ‍องค์​ทรง​ฉีก และ​จะ​ทรง​รักษา​เรา​ให้​หาย
พระ‍องค์​ทรง​โบย‍ตี และ​จะ​ทรง​พัน​บาด‍แผล​ให้​แก่​เรา
2อีก​สอง​วัน​พระ‍องค์​จะ​ทรง​ให้​เรา​ฟื้น9
พอ‍ถึง​วัน‍ที่​สาม​จะ​ทรง​ยก​เรา​ขึ้น10
เพื่อ​เรา​จะ​ดำรง​อยู่​เฉพาะ‍พระ‍พักตร์​พระ‍องค์
3ให้​เรา​รู้‍จัก ให้​เรา​พยา‌ยาม​รู้‍จัก​พระ‍ยาห์‌เวห์
การ​ปรา‌กฏ​ของ​พระ‍องค์​ก็​แน่​นอน​เหมือน​รุ่ง‍อรุณ
พระ‍องค์​จะ​เสด็จ​มา‍หา​เรา​อย่าง​ห่า‍ฝน
ดัง​ฝน‍ชุก​ปลาย‍ฤดู​ที่​รด​พื้น​แผ่น‍ดิน” (โฮเชยา 5:15; 6:1-3)

ข้อสี่ – อิสราเอลและยูดาห์ถูกกล่าวโทษที่ไม่รักษาพันธสัญญาแห่งความซื่อสัตย์ และไปวางใจในเครื่องเผาบูชาแทน:

4เอฟ‌รา‌อิม​เอ๋ย เรา​จะ​ทำ​อะไร​กับ​เจ้า​ดี?
ยู‌ดาห์​เอ๋ย เรา​จะ​ทำ​อะไร​กับ​เจ้า​หนอ?
ความ​รัก​ของ​เจ้า​ก็​เหมือน​เมฆ​ใน​ยาม‍เช้า
เหมือน​อย่าง​น้ำ‍ค้าง​ที่​หาย​ไป​แต่‍เช้า‍ตรู่
5ฉะนี้ เรา​จึง​ให้​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​พูด​สับ​เจ้า
เรา​ประ‌หาร​เจ้า​ด้วย​คำ‍พูด​จาก​ปาก​ของ​เรา
การ​พิพาก‌ษา​ของ​เรา​ก็​ออก​ไป​อย่าง​แสง‍สว่าง
6เพราะ​เรา​ประ‌สงค์​ความ​เมตตา ไม่​ประ‌สงค์​เครื่อง‍สัตว‌บูชา
เรา​ประ‌สงค์​ให้​รู้‍จัก​พระ‍เจ้า ยิ่ง‍กว่า​ประ‌สงค์​เครื่อง‍บูชา‍เผา‍ทั้ง‍ตัว (โฮเชยา 6:4-6)

พวกธรรมาจารย์คัดค้านเพราะพระเยซูให้อภัยคนบาปหรือ? พวกฟาริสีคัดค้านเพราะพระองค์ทรงคบค้าสมาคมกับคนบาปหรือ? พระเยซูทรงนำพระวจนะในโฮเชยามาแสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเขาจึงเป็นคนบาป เป็นผู้นำศาสนาแต่กลับข่มเหงผู้ที่พวกตนเองนำ “ความชอบธรรม” ของพวกเขาเป็นเพียงพิธีกรรมมากกว่ารู้จักพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และผูกพันตนอย่างซื่อสัตย์ในพันธสัญญา ผู้นำอิสราเอลและยูดาห์หลงประเด็น ไม่อาจเข้าใจศาสนาอย่างถ่องแท้ จึงนำผู้คนให้หลงทาง พวกเขาต้องสารภาพบาป และวางใจในพระเมสซิยาห์ผู้เสด็จมาช่วยพวกเขาให้รอด ดังนั้นควรจะดีใจที่พระเยซูมาช่วยคนบาปให้รอด ควรเป็นเหมือนเซาโล ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฟาริสี และเป็นฮีบรูที่เกิดจากฮีบรู ละทิ้งสิ่งที่เคยประกาศว่าตนเองชอบธรรมแล้ว มาผูกพันตนกับพระเยซูคริสต์:

15 คำ​กล่าว​นี้​สัตย์‍จริง​และ​สม‍ควร​แก่​การ​รับ​ไว้​อย่าง‍ยิ่ง คือ​ว่า​พระ‍เยซู‍คริสต์​เสด็จ​มา​ใน​โลก เพื่อ​ทรง​ช่วย​คน‍บาป​ให้​รอด และ​ใน​พวก​คน‍บาป​นั้น​ข้าพ‌เจ้า​เป็น​ตัว​เอ้ 16 แต่​เพราะ‍เหตุ‍นี้​ข้าพ‌เจ้า​จึง​ได้​รับ‍พระ‍เมตตา เพื่อ​ว่า​พระ‍เยซู‍คริสต์​จะ​ได้​ทรง​สำแดง​ความ​อดทน​อย่าง‍ยิ่ง​ต่อ​ข้า พ‌เจ้า​ซึ่ง​เป็น​ตัว​เอ้​นั้น เพื่อ​เป็น​แบบ‍อย่าง​แก่​คน​ทั้ง‍หลายที่​จะ​เชื่อ​ใน​พระ‍องค์แล้ว​ได้​ รับ​ชีวิต​นิ‌รันดร์ (1ทิโมธี 1:15-16)

1สุด‍ท้าย​นี้ พี่‍น้อง​ของ​ข้าพ‌เจ้า จง​ชื่น‍ชม​ยินดี​ใน​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า การ​เขียน​ข้อ‍ความ​เหล่า‍นี้​ถึง​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​ซ้ำ​อีก​ไม่​ใช่​เรื่อง​ ลำ‌บาก​สำหรับ​ข้าพ‌เจ้า และ​ยัง​เป็น​เรื่อง​ปลอด‍ภัย​สำหรับ​ท่าน 2จง​ระวัง​พวก​สุนัข จง​ระวัง​พวก​ที่​ทำ‍ชั่ว จง​ระวัง​พวก​เชือด‍เนื้อ‍เถือ‍หนัง 3เพราะ‍ว่า ​เรา​ต่าง‍หาก​ที่​เป็น​พวก​เข้า‍สุหนัต เป็น​พวก​ที่​นมัส‌การ​โดย​พระ‍วิญ‌ญาณ​ของ​พระ‍เจ้า อวด​พระ‍เยซู‍คริสต์ และ​ไม่​ไว้‍ใจ​ใน​เนื้อ​หนัง 4แม้‍ว่า ​ข้าพ‌เจ้า​เอง​ก็​มี​เหตุ​ที่​จะ​ไว้‍ใจ​ใน​เนื้อ‍หนัง​ด้วย ถ้า​คน​อื่น​คิด‍ว่า​เขา​มี​เหตุ​ที่​จะ​ไว้‍ใจ​ใน​เนื้อ‍หนัง ข้าพ‌เจ้า​ก็​มี​มาก​ยิ่ง‍กว่า‍นั้น‍อีก 5ข้าพ‌เจ้า​เข้า‍สุหนัต​ใน​วัน‍ที่​แปด​ที่​คลอด​มา เป็น​ชน‍ชาติ​อิสรา‌เอล อยู่​ใน​เผ่า​เบน‌ยา‌มิน เป็น​ชาว​ฮีบรู​ที่​เกิด​จาก​คน​ฮีบรู ใน​ด้าน​ธรรม‍บัญญัติ​ก็​อยู่​ใน​คณะ​ฟาริสี 6ใน​ด้าน​ความ​กระ‌ตือ‍รือ‌ร้น​ก็​ได้​ข่ม‍เหง​คริสต‌จักร ใน​ด้าน​ความ​ชอบ‍ธรรม​ตาม​ธรรม‍บัญญัติ​ก็​ไม่‍มี​ที่​ติ 7แต่​ว่า​อะไร​ที่​เคย​เป็น​กำ‌ไร​ของ​ข้าพ‌เจ้า ข้าพ‌เจ้า​ได้​ถือ‍ว่า​สิ่ง‍นั้น​เป็น​การ​ขาด‍ทุน​แล้ว​เพราะ​เหตุ​ พระ‍คริสต์ 8ยิ่ง‍กว่า‍นั้น ​ข้าพ‌เจ้า​ถือ‍ว่า​ทุก‍สิ่ง​เป็น​การ​ขาด‍ทุน เพราะ​เหตุ​คุณ‍ค่า​อัน​สูง​ยิ่ง​ของ​การ​ได้​รู้‍จัก​พระ‍เยซู‍คริสต์​ องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ของ​ข้าพ‌เจ้า เพราะ​เหตุ​พระ‍องค์​ข้าพ‌เจ้า​ยอม​ขาด‍ทุน​ทุก‍อย่าง และ​ถือ‍ว่า​สิ่ง​เหล่า‍นั้น​เป็น​เหมือน​เศษ​ขยะ​เพื่อ​ว่า​ข้าพ‌เจ้า​จะ​ ได้​พระ‍คริสต์​เป็น​กำ‌ไร 9และ ​จะ​ได้​เห็น​ว่า​ข้าพ‌เจ้า​อยู่​ใน​พระ‍องค์ ไม่‍มี​ความ​ชอบ‍ธรรม​ที่​ได้​มา​จาก​ธรรม‍บัญญัติ มี​แต่​ที่​ได้​มา​โดย​ความ​เชื่อ​ใน​พระ‍คริสต์ คือ​ความ​ชอบ‍ธรรม​ที่​มา​จาก​พระ‍เจ้า​โดย​ความ​เชื่อ (ฟีลิปปี 3:1-9)

พระเจ้าทรงปิติในผู้ที่แสวงหาความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ใช่พวกที่แยกออกไปและวางใจในพิธีกรรมและรักษาธรรมบัญญัติ พระเยซูทรงปิติเมื่อได้อยู่ท่ามกลางคนบาป และพวกเขาก็มีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้พระองค์ พระองค์ไม่ทรงปิติในคนที่แยกตัวออกไป ห่างไกลจากคนบาปและจากพระผู้ช่วยให้รอด ถ้าฟาริสีพวกนี้จะยินดีในความรอด พวกเขาต้องมีใจปรารถนาสามัคคีธรรมกับพระผู้ช่วยให้รอด พร้อมกับคนบาปอื่นๆเช่นเดียวกับพวกเขา

พระเยซูและพวกสาวกของยอห์นผู้ให้บัพติศมา – ควรอดอาหารหรือไปงานเลี้ยงดี? (มัทธิว 9:14-17)

14 แล้ว​บรร‌ดา​สาวก​ของ​ยอห์น​มา‍หา​พระ‍เยซู​ทูล​ว่า “ทำไม​เรา​และ​พวก​ฟาริสี​ถือ​อด‍อาหาร แต่​พวก​สาวก​ของ​ท่าน​ไม่​ถือ?” 15 พระ‍เยซู ​จึง​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “บรร‌ดา​แขก​รับ​เชิญ​จะ​โศก‍เศร้า เมื่อ​เจ้า‍บ่าว​ยัง​อยู่​กับ​พวก‍เขา​หรือ? แต่​วัน‍หนึ่ง​เจ้า‍บ่าว​จะ​ถูก​พราก​ไป​จาก​เขา และ​เมื่อ​นั้น​พวก‍เขา​จะ​ถือ​อด‍อาหาร 16ไม่‍มี​ใคร​เอา​ชิ้น​ผ้า​ทอ​ใหม่​มา​ปะ​เสื้อ​เก่า เพราะ‍ว่า​ผ้า​ที่​ปะ​เข้า​นั้น เมื่อ​หด​จะ​ทำ​ให้​เสื้อ​เก่า​ขาด​กว้าง​ออก​ไป​อีก 17และ ​เขา‍ทั้ง‍หลาย​ไม่​เอา​เหล้า‍องุ่น​หมัก​ใหม่ มา​ใส่​ใน​ถุง‍หนัง​เก่า ถ้า​ทำ​อย่าง​นั้น​ถุง‍หนัง​จะ​ขาด น้ำ‍องุ่น​จะ​รั่ว ทั้ง​ถุง‍หนัง​ก็​จะ​เสีย​ไป​ด้วย แต่​เขา​ย่อม​เอา​น้ำ‍องุ่น​หมัก​ใหม่​ใส่​ใน​ถุง‍หนัง​ใหม่ แล้ว​ทั้ง‍คู่​ก็​จะ​อยู่​ใน​สภาพ‍ดี” (มัทธิว 9:14-17)

ในอีกด้าน คำถามจากสาวกของยอห์นจากสองตอนก่อนหน้า พระเยซูทรงให้อภัยคนบาป และร่วมเลี้ยงฉลองกับพวกเขา สาวกของยอห์นในอีกมุม เทศนาว่ามนุษย์ต้องสำนึกผิดและกลับใจจากบาป พวกเขาอดอาหารด้วย บางทีการอดอาหารอาจเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการสำนึกผิด ช่วงนั้นยอห์นถูกจับเข้าคุก (มัทธิว 4:12 คิดว่ายังไม่ถูกประหาร ดู 11:2-6) แต่สาวกของยอห์นอดอาหารและอธิษฐานด้วยสาเหตุอื่น

งานเลี้ยงที่พระเยซูและสาวกของพระองค์ฉลองกับมัทธิวและกลุ่มเพื่อน “คนบาป” (มัทธิว 9:10) ทำให้พวกฟาริสีต่อต้าน อาจเป็นงานเลี้ยงเดียวกันนี้ที่สร้างความประหลาดใจให้กับสาวกของยอห์นผู้ให้ บัพติศมา แต่คำถามที่พวกเขาถามนั้นต่างไป คนละแบบกับการต่อต้านของธรรมาจารย์ (มัทธิว 9:3) และฟาริสี (มัทธิว 9:11) คำถามนี้ไม่ได้เพื่อต่อต้าน แต่ต้องการรู้จริงๆว่าทำไมพระเยซูและพวกสาวกไม่ทำตามบทบัญญัติเรื่องการอด อาหารเหมือนพวกฟาริสี แทนที่จะอดอาหารพระเยซูและสาวกกลับไปงานเลี้ยง ถ้าพระเยซูเป็นผู้ที่ยอห์นมาเตรียมทางให้ จะอธิบายอย่างไรในความต่างระหว่างสิ่งที่พระองค์ทำ การอดอาหารของพวกฟาริสี และสาวกของยอห์น?

ผมคิดว่าพระเยซูไม่ได้ตอบแบบตำหนิ เพราะเป็นคำถามที่ยุติธรรมดี แต่คำตอบต่อคำถามของพวกเขาจะกระจ่างชัดเมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และคืนพระชนม์ ในตอนนี้พระเยซูทรงตอบโดยการเปรียบเทียบ เปรียบเทียบบนพื้นฐานคำสอนของยอห์น เป็นคำตอบที่พวกเขาไม่อาจ ไม่สามารถ เข้าใจได้ชัดแจ้งในตอนนั้น แต่เพราะยอห์นเคยกล่าวไว้ก่อนหน้า จึงทำให้พวกเขาพอเข้าใจได้:

25 แต่​เกิด​การ​โต้‍เถียง​กัน​ขึ้น​ระหว่าง​พวก​ศิษย์​ของ​ยอห์น​และ​คน​หนึ่ง ​ใน​พวก​ยิว​เรื่อง​การ​ชำระ​มลทิน 26พวก‍เขา ​จึง​ไป​หา​ยอห์น​บอก​ว่า “อา‌จารย์ คน​ที่​อยู่​กับ​อา‌จารย์​ที่​ฟาก​แม่‍น้ำ​จอร์‌แดน​ข้าง‍โน้น คน​ที่​อา‌จารย์​เป็น​พยาน​ถึง​นั้น นี่‍แน่ะ คน​นี้​กำลัง​ให้​บัพ‌ติศ‌มา​และ​ทุก‍คน​ก็​พา​กัน​ไป​หา​เขา” 27ยอห์น​ตอบ​ว่า “ไม่‍มี​ใคร​สามารถ​รับ​สิ่ง‍ใด นอก‍จาก​สิ่ง​ที่​พระ‍เจ้า​ประ‌ทาน​จาก​สวรรค์​ให้​เขา 28พวก‍ท่าน​เอง​ก็​เป็น​พยาน​ว่า ข้าพ‌เจ้า​พูด​ว่า​ข้าพ‌เจ้า​ไม่‍ได้​เป็น​พระ‍คริสต์ แต่​ข้าพ‌เจ้า​ได้​รับ‍พระ‍บัญชา​ให้​นำ​เสด็จ​พระ‍องค์ 29 ท่าน​ที่​มี​เจ้า‍สาว​นั่น‍แหละ​คือ​เจ้า‍บ่าว เพื่อน​เจ้า‍บ่าว​ที่​ยืน​ฟัง​เจ้า‍บ่าว​ก็​ชื่น‍ชม​ยินดี​อย่าง‍ยิ่ง​เมื่อ ​ได้‍ยิน​เสียง​ของ​เจ้า‍บ่าว เพราะ‍ฉะนั้น​ความ​ปีติ‍ยินดี​ของ​ข้าพ‌เจ้า​จึง​เต็ม​เปี่ยม 30พระ‍องค์​ต้อง​ยิ่ง‍ใหญ่​ขึ้น แต่​ข้าพ‌เจ้า​ต้อง​ด้อย​ลง” (ยอห์น 3:25-30)

ด้วยคำที่ยอห์นพูดกับพวกสาวก ท่านเปรียบตนเองเป็น “เพื่อนเจ้าบ่าว” และพระเยซูทรงเป็น “เจ้าบ่าว” ความต่างระหว่างเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าว คำตอบของพระเยซูจึงทำให้พวกเขาพอเข้าใจ:

15 พระ‍เยซู​จึง​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “บรร‌ดา​แขก​รับ​เชิญ​จะ​โศก‍เศร้าเมื่อ​เจ้า‍บ่าว​ยัง​อยู่​กับ​พวก‍เขา​ หรือ? แต่​วัน‍หนึ่ง​เจ้า‍บ่าว​จะ​ถูก​พราก​ไป​จาก​เขา และ​เมื่อ​นั้น​พวก‍เขา​จะ​ถือ​อด‍อาหาร” (มัทธิว 9:15)

สาวกของพระเยซูไม่อาจโศกเศร้าได้ – ที่จริงไม่ควรโศกเศร้าด้วย – ในขณะที่พระองค์ยังอยู่กับพวกเขา แต่เมื่อพระองค์จากไปแล้ว (ตามที่ทรงบ่งไว้) นั่นแหละเป็นเวลาที่สาวกของพระองค์ต้องอดอาหาร แต่พระเยซูเสด็จมาในฐานะพระเมสซิยาห์ (ตามที่ยอห์นเป็นพยาน – ยอห์น 1:29) พระองค์เสด็จมาเพื่อยกโทษให้คนบาปตามที่พระคัมภีร์เดิมพยากรณ์ (อิสยาห์ 52:13-53:12) และพระองค์ได้ทรงเริ่มยกโทษให้คนบาปเหมือนกับที่ให้อภัยชายง่อย (มัทธิว 9:1-8) พระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วยคนบาปและมีสามัคคีธรรมกับพวกเขา (มัทธิว 9:9-10) นี่เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและชื่นชมยินดี แล้วจะให้พระองค์และพวกสาวกโศกเศร้าได้อย่างไร อย่างเช่นโดยการอดอาหาร? เฉลิมฉลองด้วยใจยินดีเป็นท่าทีที่สมควรต่อการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ และนี่คือเหตุที่ทำให้ยอห์นปิติยินดีอย่างเต็มเปี่ยม (ยอห์น 3:29) สาวกของยอห์นควรต้องทำเช่นกัน

พระวจนะสองข้อสุดท้ายของตอนนี้ไปไกลเกินกว่าอธิบายเหตุผล พระเยซูไม่ได้ปรับไปตามความคาดหวังของมนุษย์ และอธิบายถึงความสัมพันธ์ในการเสด็จมาของพระองค์กับพระคัมภีร์เดิม และพันธสัญญาเดิม:

16 ไม่‍มี​ใคร​เอา​ชิ้น​ผ้า​ทอ​ใหม่​มา​ปะ​เสื้อ​เก่า เพราะ‍ว่า​ผ้า​ที่​ปะ​เข้า​นั้น เมื่อ​หด​จะ​ทำ​ให้​เสื้อ​เก่า​ขาด​กว้าง​ออก​ไป​อีก 17และ ​เขา‍ทั้ง‍หลาย​ไม่​เอา​เหล้า‍องุ่น​หมัก​ใหม่ มา​ใส่​ใน​ถุง‍หนัง​เก่า ถ้า​ทำ​อย่าง​นั้น​ถุง‍หนัง​จะ​ขาด น้ำ‍องุ่น​จะ​รั่ว ทั้ง​ถุง‍หนัง​ก็​จะ​เสีย​ไป​ด้วย แต่​เขา​ย่อม​เอา​น้ำ‍องุ่น​หมัก​ใหม่​ใส่​ใน​ถุง‍หนัง​ใหม่ แล้ว​ทั้ง‍คู่​ก็​จะ​อยู่​ใน​สภาพ‍ดี” (มัทธิว 9:16-17)

เพื่อช่วยให้เข้าใจ เรามาพิจารณาสิ่งที่ลูกาเพิ่มเติมไว้เกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูในบริบทนี้:

“ไม่‍มี​ใคร​เมื่อ​ดื่ม​เหล้า‍องุ่น​หมัก ​เก่า​แล้ว จะ​อยาก​ได้​เหล้า‍องุ่น​หมัก​ใหม่ เพราะ​เขา​ย่อม​จะ​กล่าว​ว่า ‘ของ‍เก่า​นั้น​ดี​กว่า’ ” (ลูกา 5:39)

ความสำคัญของประโยคที่เพิ่มเข้ามาในลูกาบอกเราว่าคนในสมัยพระเยซูคิดว่า ของเก่านั้นดีกว่าของใหม่ เหตุผลที่พวกเขาคาดหวังให้พระเยซู “มาปะ” เสื้อเก่า เพราะมองว่าเสื้อเก่านั้นดีกว่าเสื้อใหม่ (ต้องสารภาพว่าผมก็มีเสื้อเก่าแบบนั้นที่ชอบมากไม่อยากทิ้ง ได้แต่ขอให้ภรรยาปะชุนจะได้เก็บเอาไว้ใช้)

พระเยซูทรงมีประเด็นสำคัญที่ตรงนี้ และเราต้องเข้าใจเพื่อจะรู้ซึ้งในข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณของพระเยซู คริสต์ พระเยซูไม่ได้มาล้มล้างธรรมบัญญัติและคำของพวกผู้เผยพระวจนะ แต่มาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ (มัทธิว 5:17) และมัทธิวเองชี้ให้เห็นว่าครบถ้วนลงอย่างไร แต่การมาทำให้ธรรมบัญญัติครบสมบูรณ์ ไม่เหมือนกับมาทำพันธสัญญาเดิมให้เป็นอมตะ พระเยซูทรงทำให้ธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อจะได้เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่:

19 พระ‍องค์ ทรง​หยิบ​ขนม‍ปัง เมื่อ​ขอบ‍พระ‍คุณ​แล้ว​ก็​ทรง​หัก​ส่ง​ให้​พวก‍เขา ตรัส​ว่า “นี่​เป็น​กาย​ของ​เรา ซึ่ง​ให้​ไว้​สำหรับ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย จง​ทำ​อย่าง‍นี้​เพื่อ​เป็น​ที่​ระลึก‍ถึง​เรา” 20 เมื่อ​รับ‍ประ‌ทาน​แล้ว จึง​ทรง​หยิบ​ถ้วย​และ​ทรง​ทำ​เหมือน‍กัน​ตรัส​ว่า “ถ้วย​นี้​ที่​เท​ออก​เพื่อ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย เป็น​พันธ‌สัญญา​ใหม่​โดย​โลหิต​ของ​เรา” (ลูกา 22:19-20)

อย่างที่เปาโลและท่านอื่นๆกล่าว พันธสัญญาเดิมไม่อาจช่วยใครให้รอดได้ มีแต่จะสาปแช่งเราที่เป็นคนบาป:

10 เมื่อ​เป็น​เช่น‍นี้ ทำไม​ท่าน​ทั้ง‍หลาย​จึง​ทด‍ลอง​พระ‍เจ้า​โดย​วาง​แอก​บน​คอ​ของ​พวก​สาวก ซึ่ง​เป็น​สิ่ง​ที่​บรรพ‌บุรุษ​หรือ​เรา​เอง​แบก​ไม่‍ไหว 11แต่​ตรง‍ข้าม เรา​เชื่อ​ว่า​เรา​เอง​จะ​รอด​โดย​พระ‍คุณ​ของ​พระ‍เยซู‍คริสต์​ องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​เช่น​เดียว​กับ​พวก‍เขา” (กิจการ 15:10-11)

เปโตรพูดถ้อยคำนี้ในการประชุมที่กรุงเยรูซาเล็ม เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันเรื่องชาวยิวบางคนต้องการให้ชาวต่างชาติเข้าสุหนัต (ซึ่งก็ทำให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม) เพื่อจะรอดได้ (ดูกิจการ 15:1) เปโตรยอมรับว่าไม่มีใครแบกภาระนี้ไหว ซึ่งเปาโลเห็นด้วยอย่างเต็มที่:

19 เรา​รู้​แล้ว​ว่าธรรม‍บัญญัติ​ทุก​ข้อ​ที่​ได้​กล่าว​นั้น ก็​กล่าว​แก่​พวก​ที่​อยู่​ใต้​ธรรม‍บัญญัติ เพื่อ​ปิด​ปาก​ทุก‍คน และ​ให้​โลก​ทั้ง‍หมด​อยู่​ใต้​การ​พิพาก‌ษา​ของ​พระ‍เจ้า 20เพราะ‍ว่า​ใน​สาย‍พระ‍เนตร​ของ​พระ‍เจ้า ไม่‍มี​ใคร​ถูก​ชำระ​ให้​ชอบ‍ธรรม​ได้ ​โดย​การ​ประ‌พฤติ​ตาม​ธรรม‍บัญญัติ เพราะ‍ว่า​ธรรม‍บัญญัติ​นั้น​ทำ​ให้​เรา​รู้‍จัก​บาป 21แต่ ​เดี๋ยว‍นี้​ความ​ชอบ‍ธรรม​ของ​พระ‍เจ้า​นั้น​ปรา‌กฏ​นอก‍เหนือ​ ธรรม‍บัญญัติ ความ​ชอบ‍ธรรม​ดัง‍กล่าว​ก็​ได้​รับ​การ​ยืน‍ยัน​จาก​หมวด​ธรรม‍บัญญัติ​และ ​พวก​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ 22คือ​ความ​ชอบ‍ธรรม​ของ​พระ‍เจ้า ซึ่ง​ปรา‌กฏ​โดย​ความ​เชื่อ​ใน​พระ‍เยซู‍คริสต์​แก่​ทุก‍คน​ที่​เชื่อ โดย​ไม่​ทรง​ถือ‍ว่า​เขา​แตก‍ต่าง​กัน 23เพราะ‍ว่า​ทุก‍คน​ทำ​บาป และ​เสื่อม​จาก​พระ‍สิริ​ของ​พระ‍เจ้า 24แต่​พระ‍เจ้า​ทรง​มี​พระ‍คุณ​ให้​เขา​เป็น​ผู้​ชอบ‍ธรรม​โดย​ไม่​คิด​ มูล‍ค่า โดย​ที่​พระ‍เยซู‍คริสต์​ทรง​ไถ่​เขา​ให้​พ้น​บาป​แล้ว (โรม 3:19-24)

เพื่อให้เป็นไปตามที่ธรรมบัญญัติกำหนด พระเยซูต้องสิ้นพระชนม์ ภายใต้ธรรมบัญญัติ แทนคนบาป เพื่อให้ได้มาซึ่งการอภัยบาป และความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ ในแง่นี้ พันธสัญญาเดิมถูกนำออกไป แทนที่ด้วยพันธสัญญาใหม่

6 แต่​บัด‍นี้​พระ‍เยซู ทรง​ได้​รับ​พันธ‌กิจ​ที่​สูง‍ส่ง​กว่า​ของ​พวก‍เขา เช่น​เดียว​กับ​ที่​พระ‍องค์​ทรง​เป็น​คน​กลาง​แห่ง​พันธ‌สัญญา​อัน​ประ‌เส ริฐ​กว่า ซึ่ง​ตั้ง​อยู่​บน​พระ‍สัญญา​ที่​ประ‌เสริฐ​กว่า 7เพราะ‍ว่า​ถ้า​พันธ‌สัญญา​เดิม​นั้น​ไม่‍มี​ข้อ​บก‍พร่อง​แล้ว ก็​ไม่​จำ‍เป็น​ต้อง​มี​พันธ‌สัญญา​ที่​สอง​อีก 8เพราะ​พระ‍เจ้า​ทรง​ติ‍เตียน​พวก‍เขา​ว่า “องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ตรัส​ว่า​นี่‍แน่ะวัน‍เวลา​จะ​มา​ถึง เมื่อ​เรา​จะ​ทำ​พันธ‌สัญญา​ใหม่​กับ​ชน‍ชาติ​อิสรา‌เอล และ​กับ​ชน‍ชาติ​ยู‌ดาห์ 9 ที่​ไม่​เหมือน​กับ​พันธ‌สัญญา​ซึ่ง​เรา​เคย​ทำ​กับ​บรรพ‌บุรุษ​ของ​ เขา‍ทั้ง‍หลาย ใน​วัน‍ที่​เรา​จูง​มือ​พวก‍เขา​เพื่อ​พา​ออก‍จาก​แผ่น‍ดิน​อียิปต์ เพราะ​พวก‍เขา​ไม่‍ได้​ดำรง​อยู่​ใน​พันธ‌สัญญา​ของ​เรา เรา​จึง​ละ‍ทิ้ง​พวก‍เขา​ไว้ องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ตรัส​ดัง‍นี้​แหละ 10 นี่​คือ​พันธ‌สัญญา​ที่​เรา​จะ​ทำ​กับ​ชน‍ชาติ​อิสรา‌เอล ภาย‍หลัง‍จาก​สมัย​นั้น องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ตรัส เรา​จะ​บรร‌จุ​ธรรม‍บัญญัติ​ของ​เรา​ไว้​ใน​จิต‍ใจ​ของ​พวก‍เขา และ​เรา​จะ​จา‌รึก​มัน​ไว้​ใน​ดวง‍ใจ​ของ​พวก‍เขา และ​เรา​จะ​เป็น​พระ‍เจ้า​ของ​พวก‍เขา และ​พวก‍เขา​จะ​เป็น​ประ‌ชา‍กร​ของ​เรา 11 และ​พวก‍เขา​จะ​ไม่​สอน​เพื่อน‍บ้าน และ​พี่‍น้อง​ของ​ตน​แต่‍ละ‍คน​ว่า ‘จง​รู้‍จัก​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า’ เพราะ​เขา​ทุก​คน​จะ​รู้‍จัก​เรา ตั้ง‍แต่​คน​ต่ำ‍ต้อย​ที่‍สุด​จน‍ถึง​คน​ใหญ่​โต​ที่‍สุด 12 เพราะ​เรา​จะ​เมตตา​ต่อ​การ​อธรรม​ของ​พวก‍เขา และ​จะ​ไม่​จด‍จำ​บรร‌ดา​บาป​ของ​พวก‍เขา​ไว้​เลย” 13เมื่อ​พระ‍องค์​ตรัส​ถึง​พันธ‌สัญญาใหม่  พระ‍องค์​ก็​ทรง​ถือ‍ว่า​พันธ‌สัญญา​เดิม​นั้น​ล้า‍สมัย​แล้ว สิ่ง​ที่​กำลัง​ล้า‍สมัย​และ​เก่า​ไป​นั้น​ก็​ใกล้​จะ​เสื่อม‍สูญ (ฮีบรู 8:6-13)

นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมพระเยซูไม่ได้ปรับไปตามความคาดหวังในตัวพระเม สซิยาห์ของคนในยุคนั้น (แม้แต่พวกสาวกเอง) เมื่อพระองค์เสด็จมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติ และคำของผู้เผยพระวจนะครบถ้วนสมบูรณ์ พระองค์ยังเสด็จมาเพื่อเริ่มต้นพันธสัญญาที่ใหม่และดีกว่า พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อ “ปะ” ของใหม่เข้าไปกับของเก่า แต่นำสิ่งใหม่ทั้งหมดมา พระองค์ทรงนำ “น้ำองุ่นหมักใหม่” มา และน้ำองุ่นหมักใหม่นี้จะนำไปใส่ใน “ถุงหนังเก่า” ของลัทธิยูดายในพระคัมภีร์เดิมไม่ได้ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม และเป็นมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของแท้ แต่พระเยซูนำสิ่งที่ดีกว่ามา โดยทำให้คำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม และความหวังสำเร็จเป็นจริง:

25 ถ้า​ไม่​ใช่​แล้ว​พวก‍ท่าน​ไป​ดู​อะไร? ไป​ดู​คน​ที่​แต่ง‍กาย​ด้วย​เสื้อ‍ผ้า​เนื้อ​ดี​หรือ? นี่‍แน่ะ คน​ที่​แต่ง‍กาย​ด้วย​เสื้อ‍ผ้า​งด‍งาม​และ​อยู่​อย่าง​ฟุ่ม‌เฟือย​ย่อม​ อยู่​ใน​พระ‍ราช‌วัง 26แล้ว​พวก‍ท่าน​ออก​ไป​ดู​อะไร? ดู​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​หรือ? แน่​ที‍เดียว เรา​บอก​ว่า​ยอห์น​เป็น​ยิ่ง‍กว่า​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ 27คือ​ท่าน​ผู้‍นี้​ที่​พระ‍คัมภีร์​เขียน​ไว้​ว่า ‘เรา​จะ​ใช้​ทูต​ของ​เรา​นำ‍หน้า​ท่าน ผู้‍นั้น​จะ​เตรียม​มรรคา ไว้​ข้าง‍หน้า​ท่าน’ 28 เรา​บอก​พวก‍ท่าน​ว่า ใน​บรร‌ดา​คน​ที่​เกิด​จาก​ผู้‍หญิง​นั้น ไม่‍มี​ใคร​ยิ่ง‍ใหญ่​กว่า​ยอห์น แต่​คน​ที่​ต่ำ‍ต้อย​ที่​สุด​ใน​แผ่น‍ดิน​ของ​พระ‍เจ้า​ก็​ยัง​ใหญ่​กว่า​ ยอห์น” (ลูกา 7:25-28)

พระเยซูเสด็จมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ครบถ้วน เพื่อจะทำตามความชอบธรรมของพระคัมภีร์เดิมครบถ้วน พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์แทนคนบาป และจัดเตรียมความรอดนิรันดร์ให้ แต่พระองค์ยังเสด็จมาเพื่อจัดตั้งพันธสัญญาใหม่โดยทางพระโลหิตของพระองค์ ด้วย นี่เป็นพันธสัญญาที่ไม่มีเงื่อนไขว่าความรอดจะได้มาต้องพากเพียรปฏิบัติ แต่บนพระชนม์ชีพที่สละแทนพวกเราแล้ว และเป็นไปตามความครบถ้วนสมบูรณ์ของพันธสัญญาเดิม และที่จัดตั้งขึ้นใหม่ พระเยซูทรงอภัยให้คนบาปได้ และชื่นชมยินดี (ในงานเลี้ยง) กับพวกเขาได้ จึงต้องขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่ปรับไปตามความคาดหวังของมนุษย์

บทสรุป

เมื่อเรามาถึงบทสรุปของพระวจนะที่เรียนกันในตอนนี้ เราควรจำไว้ว่ามัทธิวได้เริ่มนำเสนอให้เราเห็นแนวคิดการต่อต้านที่ชาวยิวมี ต่อพระเยซู รวมถึงคนเลี้ยงสุกรที่ขอร้องให้พระเยซูไปจากเขตแดนพวกเขาในพระวจนะก่อนหน้า (มัทธิว 8:34) แต่พวกนี้อาจไม่ใช่คนยิว ที่แน่ๆไม่ใช่ผู้นำศาสนายิว ในพระวจนะของเราตอนนี้ พวกยิวเริ่มต่อต้านพระเยซู เริ่มจากธรรมาจารย์ที่ต่อต้านคำประกาศเป็นนัยว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และพวกฟาริสีที่ต่อต้านการเฉลิมฉลองและมีสามัคคีธรรมกับพวก “คนบาป” เราควรต้องจำไว้ว่าการต่อต้านเริ่มต้นเมื่อพระเยซูทรงประกาศว่าพระองค์เป็น พระเจ้า ให้คนที่ชอบพูดว่าพระเยซูไม่เคยอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอ่านดูให้เข้าใจใน ประเด็นที่พระองค์ตรัส ตั้งแต่เริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ที่บนโลก ที่ทรงประกาศว่าพระองค์เป็นพระเจ้า

นอกจากนั้น ธรรมาจารย์และฟาริสีต่อต้านพระเยซูเพราะพระองค์ประกาศว่าทรงมีสิทธิอำนาจใน การอภัยให้คนบาป เป็นสิ่งที่ไม่ว่าปุโรหิต ธรรมาจารย์ ฟาริสี หรือผู้นำศาสนายิวทำมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีในพระคัมภีร์เดิม การถวายบูชาเป็นเพียงการชดใช้ความผิดชั่วคราวในขณะนั้น จนกว่าพระเมสซิยาห์เสด็จมา:

4 แต่​พระ‍เจ้า​ทรง​มี​พระ‍คุณ​ให้​เขา​เป็น​ผู้​ชอบ‍ธรรม​โดย​ไม่​คิด​ มูล‍ค่า โดย​ที่​พระ‍เยซู‍คริสต์​ทรง​ไถ่​เขา​ให้​พ้น​บาป​แล้ว 25พระ‍เจ้า​ได้​ทรง​ตั้ง​พระ‍เยซู​ไว้​ให้​เป็น​เครื่อง‍บูชา‍ไถ่‍บาป​ โดย​พระ‍โลหิต​ของ​พระ‍องค์ ความ​เชื่อ​จึง​ได้​ผล ทั้ง‍นี้​เพื่อ​แสดง​ให้​เห็น​ความ​ชอบ‍ธรรม​ของ​พระ‍เจ้า ใน​การ​ที่​พระ‍องค์​ได้​ทรง​อด‍กลั้น​พระ‍ทัย และ​ทรง​ยก​บาป​ที่​ได้​ทำ​ไป​แล้ว​นั้น 26และ ​เพื่อ​จะ​สำแดง​ใน​ปัจ‌จุ‌บัน​นี้​ว่า​พระ‍องค์​ทรง​เป็น​ผู้​ชอบ‍ธรรม และ​ทรง​ให้​ผู้​ที่​เชื่อ​ใน​พระ‍เยซู​เป็น​ผู้​ชอบ‍ธรรม​ด้วย (โรม 3:24-26)

นี่คือสิ่งที่พระเยซูตรัสถึงเมื่อทรงนำสิ่งใหม่เข้ามา ไม่ใช่เพื่อปะเข้ากับของเก่า พระเยซูทรงมาจัดตั้งพันธสัญญาใหม่ ในขณะเดียวกันเติมเต็มตามที่ของเก่ากำหนด ผู้เขียนหนังสือฮีบรูย้ำอย่างหนักแน่นในเรื่องนี้:

8โดย ​สิ่ง‍นี้​เอง พระ‍วิญ‌ญาณ‍บริ‌สุทธิ์​จึง​ทรง​สำแดง​ว่า ทาง​ที่​นำ​เข้า​สู่​สถาน​ศักดิ์‍สิทธิ์​นั้น​ยัง​ไม่​เปิด ตราบ‍ใด‍ที่​ห้อง​ชั้น‍นอก​นั้น​ตั้ง​อยู่ 9ซึ่ง ​เป็น​เครื่อง‍หมาย​ของ​ยุค​ปัจ‌จุ‌บัน การ​นำ​ของ‍ถวาย​และ​เครื่อง‍บูชา​มา​ถวาย​ตาม​แบบ​นี้​ไม่​สามารถ​ชำระ​ มโน‌ธรรม​ของ​ผู้​ถวาย​นั้น 10เพราะ ​เป็น​เรื่อง​อาหาร​และ​เครื่อง‍ดื่ม​และ​พิธี​ชำระ‍ล้าง​ต่างๆ เท่า​นั้น เป็น​เพียง​กฎ‍เกณฑ์​ต่างๆ ทาง​กาย​เกี่ยว‍กับ​ชีวิต​ภาย‍นอก​ที่​ได้​บัญญัติ​ไว้ จน‍กว่า​จะ​ถึง​เวลา​ที่​ต้อง​เปลี่ยน‍แปลง​ใหม่ 11แต่​เมื่อ​พระ‍คริสต์​เสด็จ​มา​ใน​ฐานะ​มหา‍ปุ‌โร‌หิต​แห่ง​บรร‌ดา​สิ่ง​ ประ‌เสริฐ​ซึ่ง​มา​ถึง​แล้ว พระ‍องค์​ก็​เสด็จ​เข้า​ไป​สู่​พลับ‌พลา​ที่​ใหญ่​และ​สม‌บูรณ์​ยิ่ง‍กว่า​ แต่​ก่อน (ที่​ไม่‍ได้​สร้าง​ขึ้น​ด้วย​มือ​มนุษย์ คือ​ไม่​ใช่​สิ่ง​ปลูก​สร้าง​ของ​โลก​นี้) 12คือ ​เสด็จ​เข้า​ไป​ใน​สถาน​ศักดิ์‍สิทธิ์​ครั้ง​เดียว​เป็น​พอ และ​พระ‍องค์​ไม่‍ได้​ทรง​นำ​เลือด​แพะ​และ​เลือด​ลูก​วัว​เข้า​ไป แต่​ทรง​นำ​พระ‍โลหิต​ของ​พระ‍องค์​เอง​เข้า​ไป จึง​ได้​มา​ซึ่ง​การ​ไถ่​บาป​ชั่ว‍นิ‌รันดร์ 13เพราะ‍ว่า​ถ้า​เลือด​แพะ​และ​เลือด​วัว​ตัว‍ผู้​และ​เถ้า​ของ​ลูก​วัว​ ตัว‍เมีย ที่​ประ‌พรม​ลง​บน​คน​ที่​มี​มลทิน สามารถ​ชำระ​เนื้อ​ตัว​ให้​บริ‌สุทธิ์​ได้ 14มาก ​ยิ่ง‍กว่า‍นั้น​สัก​เท่า‍ใด พระ‍โลหิต​ของ​พระ‍คริสต์ ผู้​ทรง​ถวาย​พระ‍องค์​เอง​ที่​ปราศ‌จาก​ตำ‌หนิ​แด่​พระ‍เจ้า​โดย​พระ‍วิ ญ‌ญาณ​นิ‌รันดร์ ก็​จะ​ทรง​ชำระ​มโน‌ธรรม​ของ​เรา​จาก​การ​ประ‌พฤติ​ที่​เปล่า‍ประ‌โยชน์ เพื่อ​เรา​จะ​ปรน‌นิ‌บัติ​พระ‍เจ้า​ผู้​ทรง​พระ‍ชนม์​อยู่ 15เพราะ​เหตุ‍นี้ พระ‍คริสต์​ จึง​ทรง​เป็น​คน​กลาง​แห่ง​พันธ‌สัญญา​ใหม่ เพื่อ​ให้​คน​ทั้ง‍หลาย​ที่​พระ‍องค์​ทรง​เรียก​มา​ได้​รับ​มรดก​นิ‌รันดร์​ ตาม​พระ‍สัญญา เพราะ​ความ​ตาย​ที่​เกิด‍ขึ้น​นั้น​ไถ่​พวก‍เขา​ให้​พ้น​จาก​บรร‌ดา​การ​ ล่วง‍ละ‌เมิด​ที่​เกิด​ภาย‍ใต้​พันธ‌สัญญา​เดิม​แล้ว (ฮีบรู 9:8-15)

1 เพราะ​เหตุ​ที่​ธรรม‍บัญญัติ​เป็น​เพียง​เงา​ของ​สิ่ง​ประ‌เสริฐ​ทั้ง‍หลาย​ ที่​ จะ​มา​ใน​ภาย‍หลัง ไม่​ใช่​ตัว​จริง จึง​ไม่​สามารถ​ทำ​ให้​ผู้​ที่​เข้า‍เฝ้า​พระ‍เจ้า​พร้อม​กับ​เครื่อง‍บูชา​ ที่​พวก‍เขา​ถวาย​เหมือน​เดิม​ทุก​ปี​เสมอ​มา​นั้น ถึง​ความ​สม‌บูรณ์​ได้ 2เพราะ ​ถ้า​ทำ​ได้ พวก‍เขา​คง​หยุด​การ​ถวาย​เครื่อง‍บูชา​แล้ว​ไม่‍ใช่​หรือ? เพราะ​ถ้า​ผู้​นมัส‌การ​ได้​รับ​การ​ชำระ​ให้​บริ‌สุทธิ์​สัก​ครั้ง​หนึ่ง​ แล้ว คง​จะ​ไม่​รู้‍สึก​ว่า​มี​บาป​อีก‍ต่อ‍ไป 3แต่​การ​ถวาย​เครื่อง‍บูชา​นั้น​เป็น​การ​เตือน​ให้​คิด‍ถึง​บาป​ทุก​ปี 4เพราะ​เลือด​วัว​ผู้​และ​เลือด​แพะ​ไม่‍มี​ทาง​ชำระ​บาป​ให้​หมด‍สิ้น‍ไป​ ได้​เลย 5 เพราะ‍ฉะนั้น เมื่อ​พระ‍คริสต์​เสด็จ​เข้า‍มา​ใน​โลก​แล้ว พระ‍องค์​ตรัส​ว่า “พระ‍องค์​เจ้า‍ข้า เครื่อง‍สัตว‌บูชา​และ​เครื่อง‍บูชา​อื่นๆ พระ‍องค์​ไม่​ทรง​ประ‌สงค์ แต่​พระ‍องค์​ทรง​จัด‍เตรียม​กาย​สำหรับ​ข้า‍พระ‍องค์ 6 เครื่อง‍เผา‍บูชา​และ​เครื่อง‍บูชา​ลบ​บาป​นั้น พระ‍องค์​ไม่​พอ‍พระ‍ทัย 7 แล้ว​ข้า‍พระ‍องค์​ทูล​ว่า ‘ข้า‍แต่​พระ‍เจ้า ข้า‍พระ‍องค์​มา​แล้ว เพื่อ​จะ​ทำ​ตาม​พระ‍ทัย​ของ​พระ‍องค์’ ตาม​ที่​มี​เรื่อง​ข้า‍พระ‍องค์​เขียน​ไว้​ใน​หนัง‌สือ​ม้วน” 8 เมื่อ​พระ‍องค์​ตรัส​ใน​ตอน​แรก​ว่า “เครื่อง‍สัตว‌บูชา​และ​เครื่อง‍บูชา​อื่นๆ  ​และเครื่อง‍เผา‍บูชา​และ​เครื่อง‍บูชา​ลบ​บาป  (ที่​ได้​ถวาย​ตาม​ธรรม‍บัญญัติ​นั้น) พระ‍องค์​ไม่​ทรง​ประ‌สงค์​และ​ไม่​พอ‍พระ‍ทัย” 9แล้ว​พระ‍องค์​ท่าน​ก็​ตรัส​ด้วย​ว่า “ข้า‍พระ‍องค์​มา​แล้ว​เพื่อ​จะ​ทำ​ตาม​พระ‍ทัย​ของ​พระ‍องค์” พระ‍องค์​ท่าน​ทรง​ยก‍เลิก​ระบบ​เดิม​นั้น​เสีย​เพื่อ​จะ​ทรง​ตั้ง​ระบบ​ ใหม่ 10และ ​โดย​พระ‍ประ‌สงค์​นั้น​เอง เรา​จึง​ได้​รับ​การ​ชำระ​ให้​บริ‌สุทธิ์ โดย​การ​ถวาย​พระ‍กาย​ของ​พระ‍เยซู‍คริสต์​ครั้ง​เดียว​เป็น​พอ 11ส่วน ​ปุ‌โร‌หิต​ทุก​คน​ก็​ยืน​ปฏิ‌บัติ​กิจ​อยู่​ทุก​วัน โดย​การ​นำ​เครื่อง‍บูชา​อย่าง​เดียว‍กัน​มา​ถวาย​เสมอๆ เครื่อง‍บูชา​เหล่า‍นั้น​ไม่‍มี​วัน​ลบ‍ล้าง‍บาป​ได้​เลย 12แต่​เมื่อ​พระ‍คริสต์​ทรง​ถวาย​เครื่อง‍บูชา​เพื่อ​ลบ​บาป​เพียง​ครั้ง​ เดียว​สำหรับ​ตลอด‍ไป​แล้ว พระ‍องค์​ก็​ประ‌ทับ​เบื้อง‍ขวา​ของ​พระ‍เจ้า 13เพื่อ​ทรง​คอย‍อยู่​จน‍กว่า​ศัตรู​ของ​พระ‍องค์​ถูก​นำ​มา​เป็น​ที่​รอง​ พระ‍บาท​ของ​พระ‍องค์ 14โดย ​การ​ถวาย‍บูชา​เพียง​ครั้ง​เดียว พระ‍องค์​ก็​ทรง​ทำ​ให้​คน​ทั้ง‍หลาย​ที่​ได้​รับ​การ​ชำระ​ให้​บริ‌สุทธิ์​ แล้ว​นั้น​ถึง​ความ​สม‌บูรณ์​ตลอด‍ไป 15และ​พระ‍วิญ‌ญาณ​บริ‌สุทธิ์​ก็​ทรง​เป็น​พยาน​แก่​เรา​ด้วย เพราะ​หลัง‍จาก​ที่​พระ‍องค์​ตรัส​ว่า 16 “องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า ตรัส​ว่า นี่​คือ​พันธ‌สัญญา​ซึ่ง​เรา​จะ​ทำ​กับ​เขา‍ทั้ง‍หลาย หลัง‍จาก​สมัย​นั้น เรา​จะ​บรร‌จุ​ธรรม‍บัญญัติ​ของ​เรา​ไว้​ใน​ใจ​ของ​พวก‍เขา และ​เรา​จะ​จา‌รึก​มัน​ไว้​ใน​จิต‍ใจ​ของ​พวก‍เขา” 17 “และ​เรา​จะ​ไม่​จด‍จำ บาป​ของ​พวก‍เขา และการ​อธรรม​ของ​พวก‍เขา​อีก‍ต่อ‍ไป” 18เมื่อ​มี​การ​ยก‍โทษ​บาป​แล้ว ก็​ไม่‍มี​การ​ถวาย​เครื่อง‍บูชา​เพื่อ​ลบ​บาป​อีก‍ต่อ‍ไป (ฮีบรู 10:1-18)

พระเยซูทรงทำในสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมเล็งถึง ตามที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวเมื่อพยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ พระเยซูทรงทำให้คำพยากรณ์เหล่านี้สำเร็จลง และโดยการสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ และคืนพระชนม์ของพระองค์แทนเราทั้งหลาย พระองค์ได้ชดใช้บทลงโทษบาปแทนเรา และเตรียมการอภัยบาปให้ ไม่มีถ้อยคำไหนที่ดีไปกว่านี้ “จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” คุณ มีประสบการณ์รับการอภัยนี้หรือยัง? เพียงแค่ยอมรับว่าคุณเป็นคนบาป วางใจในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงนำบาปของคุณไปไว้ที่พระองค์ ข้อเสนอสำหรับการอภัยนี้มีให้สำหรับทุกคนที่ยืนมืออกไปรับ

28 บรร‌ดา​ผู้​เหน็ด‍เหนื่อย​และ​แบก​ภาระ​หนัก จง​มา‍หา​เรา และ​เรา​จะ​ให้​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​ได้​หยุด‍พัก 29 จง​เอา​แอก​ของ​เรา​แบก​ไว้ แล้ว​เรียน​จาก​เรา เพราะ‍ว่า​เรา​สุภาพ‍อ่อน‍โยน​และ​ใจ​อ่อน‍น้อม และ​จิต‍ใจ​ของ​พวก‍ท่าน​จะ​ได้​หยุด‍พัก 30ด้วย‍ว่า​แอก​ของ​เรา​ก็​พอ​เหมาะ และ​ภาระ​ของ​เรา​ก็​เบา” (มัทธิว 11:28-30)

พระ‍วิญ‌ญาณ​และ​เจ้า‍สาว​กล่าว​ว่า “เชิญ​เสด็จ​มา​เถิด” และ​ให้​คน​ที่​ได้‍ยิน​กล่าว​ด้วย​ว่า “เชิญ​เสด็จ​มา​เถิด” “คน​ที่​กระ‌หาย​เชิญ​เข้า‍มา ใคร​ที่​มี​ใจ​ปรารถ‌นา จง​มา​รับ​น้ำ​แห่ง​ชีวิต​โดย​ไม่​ต้อง​เสีย​อะไร​เลย” (วิวรณ์ 22:17)

8แต่​ความ​ชอบ‍ธรรม​ว่า​อย่าง‍ไร? ก็​ว่า “ถ้อย‍คำ​นั้น​อยู่​ใกล้​ท่าน อยู่​ใน​ปาก​ของ​ท่าน และ​อยู่​ใน​ใจ​ของ​ท่าน” (คือ​คำ​ซึ่ง​ก่อ​ให้​เกิด​ความ​เชื่อ​ที่​เรา​ทั้ง‍หลาย​ประ‌กาศ​อยู่​ นั้น) 9คือ ​ว่า​ถ้า​ท่าน​จะ​ยอม‍รับ​ด้วย​ปาก​ของ​ท่าน​ว่า​พระ‍เยซู​ทรง​เป็น​ องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า และ​เชื่อ​ใน​ใจ​ว่า พระ‍เจ้า​ได้​ทรง​ให้​พระ‍องค์​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ความ​ตาย ท่าน​จะ​รอด 10เพราะ‍ว่า​การ​เชื่อ​ด้วย​ใจ​ก็​นำ​ไป​สู่​ความ​ชอบ‍ธรรม และ​การ​ยอม‍รับ​ด้วย​ปาก​ก็​นำ​ไป​สู่​ความ​รอด 11เพราะ​มี​ข้อ​พระ‍คัมภีร์​ว่า “ทุก‍คนที่​เชื่อ​ใน​พระ‍องค์​จะ​ไม่‍ได้​รับ​ความ​อับอาย” 12พวก ​ยิว​และ​พวก​กรีก​นั้น​ไม่​ต่าง‍กัน เพราะ‍ว่า​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​องค์​เดียว​ทรง​เป็น​องค์‍พระ‍ผู้‍ เป็น‍เจ้า​ของ​ทุก​คน และ​ประ‌ทาน​อย่าง​บริ‌บูรณ์​แก่​ทุก​คน​ที่​ทูล​ขอ​ต่อ​พระ‍องค์ 13เพราะ​ว่า ผู้​ที่​ร้อง‍ออก‍พระ‍นาม​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​จะ​รอด (โรม 10:8-13)

ถ้าผมจะรวบเอาสาระสำคัญของพระวจนะตอนนี้มาเหลือแค่สองคำ คงต้องเป็นสองคำที่เป็นกุญแจสำคัญ – บาป-และ-พระเจ้า ในเรื่องชายง่อย พระเยซูทรงรักษาชายง่อยคนนี้ แต่ในอีกทางทรงสำแดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจในการยกบาป ปัญหาคือพวกธรรมาจารย์ไม่อาจยอมรับว่าพระองค์เป็นพระเจ้าตามที่พระองค์ ประกาศ เรื่องที่สอง การทรงเรียกมัทธิว และงานเฉลิมฉลองกับพวกคนบาป ก่อให้เกิดความตึงเครียด ระหว่างความบาป (หรือคนบาป) กับพระเจ้า พวกฟาริสีไม่อาจยอมรับที่เห็นพระเยซูไปคบหาและมีสามัคคีธรรมกับคนบาป ไม่อาจรับได้ที่เห็นคนดีๆ (นี่คือสิ่งดีที่สุดที่เขาพูดถึงพระเยซูได้) ไปมีสามัคคีธรรมกับพวกคนบาป พระเจ้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไร? คำตอบสำหรับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้จึงถูกเปิดเผย ส่วนหนึ่งอยู่ในเรื่องที่สาม สาวกของยอห์นไปถามพระเยซูว่าทำไมสาวกของพระองค์ไม่อดอาหาร ภายใต้พันธสัญญาเดิม ไม่มีทางออกสำหรับความบาป หรือหนทางที่จะได้สามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า11 ความมั่นใจว่าจะได้ร่วมโต๊ะเสวยต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเป็นบางสิ่งที่ให้ ความหวังสำหรับชีวิตนิรันดร์ (ดูสดุดี 23:4-6) ไม่ได้โดยหนทางของพันธสัญญาเดิม แต่โดยทางพันธสัญญาใหม่ – โดยการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ – คนบาปจึงได้รับการอภัย และเข้าสู่สามัคคีธรรมนิรันดร์กับพระเจ้าได้

พระวจนะในพระกิตติคุณมัทธิวตอนนี้ให้ความมั่นใจกับเราว่ามีบางสิ่งนอก เหนือจากการอภัยบาป พระเยซูไม่เพียงแต่อภัยบาปให้คนบาป แต่ทรงเรียกให้คนบาปมาเป็นสาวกของพระองค์ และมามีส่วนในสามัคคีธรรมร่วมกันกับพระองค์ มัทธิว คนเก็บภาษีและเป็นคนบาป ถูกเรียกให้มาเป็นสาวก เราเห็นท่านและเพื่อนๆในกลุ่มคนบาป ได้นั่งร่วมโต๊ะเสวย เฉลิมฉลองการสถิตอยู่ด้วยของพระเยซูคริสต์

เป็นไปได้ที่บางคนต่อต้านไม่ยอมรับข้อเสนอการอภัยบาปนี้ เพราะพวกเขาคิดว่าจะทำให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินของโลกนี้หมดไป ช่วยไปบอกมัทธิวกับเพื่อนๆด้วยนะครับ! วางใจในพระเยซูเป็นหนทางที่จะติดตามพระองค์ไป เข้าสู่ความปิติที่มีพระองค์อยู่ด้วย ไม่มีความสุขไหนดีไปกว่านี้ ทิ้งบูธภาษีไว้เบื้องหลัง มารับใช้พระองค์ การสถิตอยู่ของพระองค์นั้นชั่วนิรันดร์ ความสุขของพระองค์ก็ไม่จำกัดด้วยครับ

บทเรียนตอนนี้มีสิ่งที่นำไปใช้ได้มากมายสำหรับคนที่วางใจในการอภัยบาปของ พระเยซูแล้ว แรกสุด พระวจนะตอนนี้หนุนใจให้เรากล้าเข้าไปช่วยคนอื่น โดยเฉพาะคนที่หลงหาย ความเชื่อของชายสี่คนที่แบกแคร่คนง่อยไปหาพระองค์ทำให้พระองค์ทรงเห็นความ เชื่อของพวกเขา ในระดับหนึ่ง พวกเขาจึงเป็นเหมือนอุปกรณ์ในการรักษา (การอภัยบาป) ให้เพื่อน ให้เรายอมแบกแคร่ของคนที่หลงหาย ที่ต้องการการอภัยจากพระเยซูนะครับ

พระวจนะตอนนี้ยังเป็นการเตือนสติเราว่าการทำดีไม่ได้สงผลให้มนุษย์ยกย่องนับถือเสมอไป อาจนำมาซึ่งการข่มเหงด้วยซ้ำ:

18“ถ้า​โลก​นี้​เกลียด‍ชัง​พวก‍ท่าน ก็​จง​รู้​ว่า​โลก​เกลียด‍ชัง​เรา​ก่อน 19ถ้า ​พวก‍ท่าน​เป็น​ของ​โลก โลก​ก็​ย่อม​จะ​รัก​คน​ที่​เป็น​ของ​โลก​เอง แต่​เพราะ​ท่าน​ไม่‍ได้​เป็น​ของ​โลก คือ​เรา​เลือก​ท่าน​ออก​จาก​โลก เพราะ​เหตุ‍นี้ โลก​จึง​เกลียด‍ชัง​ท่าน 20จง​ระลึก‍ถึง​คำ​ที่​เรา​กล่าว​กับ​พวก‍ท่าน​แล้ว​ว่า ‘บ่าว​ไม่‍ได้​เป็น​ใหญ่​กว่า​นาย’ ถ้า​พวก‍เขา​ข่ม‍เหง​เรา เขา​ก็​จะ​ข่ม‍เหง​พวก‍ท่าน​ด้วย ถ้า​เขา​ปฏิ‌บัติ​ตาม​คำ​ของ​เรา พวก‍เขา​ก็​จะ​ปฏิ‌บัติ​ตาม​คำ​ของ​พวก‍ท่าน​ด้วย 21แต่​เขา​จะ​ทำ​ทุก‍สิ่ง‍เหล่า‍นี้​แก่​พวก‍ท่าน​เพราะ​นาม​ของ​เรา เพราะ​เขา​ไม่​รู้‍จัก​ผู้​ทรง​ใช้​เรา​มา (ยอห์น 15:18-21) ดู 1เปโตร 4:1-6; 12-16 ด้วย

พระเยซูถูกต่อต้านเพราะพระองค์ทำสิ่งดีในฐานะพระเจ้า เมื่อเรารับใช้ในพระนามของพระองค์ คาดหวังได้ว่าจะเจอการต่อต้าน เพราะพระนามของพระเยซูคริสต์

สุดท้ายนี้ เราควรเรียนรู้จากมัทธิวว่าพระเยซูไม่ได้เสด็จมาเพื่อ “ปะชุน” ชีวิตของเรา แต่มาเพื่อให้ชีวิตใหม่

17 ฉะนั้น ​ถ้า​ใคร​อยู่​ใน​พระ‍คริสต์ เขา​ก็​เป็น​คน​ที่​ถูก​สร้าง​ใหม่​แล้ว สิ่ง​สาร‌พัด​ที่​เก่าๆ ก็​ล่วง​ไป นี่‍แน่ะ​กลาย​เป็น​สิ่ง​ใหม่​ทั้ง​นั้น (2โครินธ์ 5:17)

ความเชื่อในพระคริสต์หมายถึงเมื่อเราตายจากชีวิตเก่า เราจะถูกสร้างขึ้นมาในชีวิตใหม่ทั้งหมด:

1 ถ้า​อย่าง​นั้นเรา​จะ​ว่า​อย่าง‍ไร? เรา​จะ​อยู่​ใน​บาป​ต่อ‍ไป​เพื่อ​ให้​พระ‍คุณ​เพิ่ม​ทวี​ขึ้น​หรือ? 2เปล่า‍เลย เรา​ที่​ตาย​ต่อ​บาป​แล้ว​จะ​มี​ชีวิต​ใน​บาป​ต่อ‍ไป​ได้​อย่าง‍ไร? 3ท่าน‍ทั้ง‍หลาย ​ไม่​รู้​หรือ​ว่า เรา​ผู้​ที่​ได้​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​เข้า​ใน​พระ‍เยซู‍คริสต์ ก็​ได้​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​นั้น​เข้า​ใน​การ​ตาย​ของ​พระ‍องค์? 4เพราะ‍ฉะนั้น เรา​จึง​ถูก​ฝัง​ไว้​กับ​พระ‍องค์​แล้ว โดย​การ​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​เข้า​ใน​การ​ตาย​นั้น เพื่อ​ว่า​เมื่อ​พระ‍บิดา​ทรง​ให้​พระ‍คริสต์​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ตาย​โดย​ พระ‍สิริ​ของ​พระ‍องค์​แล้ว เรา​ก็​จะ​ได้​ดำ‌เนิน​ตาม​ชีวิต​ใหม่​ด้วย​เหมือน‍กัน 5เพราะ‍ว่า ​ถ้า​เรา​เข้า​สนิท​กับ​พระ‍องค์​แล้ว​ใน​การ​ตาย​อย่าง​พระ‍องค์ เรา​ก็​จะ​เข้า​สนิท​กับ​พระ‍องค์​ใน​การ​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย​อย่าง​พระ‍องค์ 6เรา ​รู้​แล้ว​ว่า คน‍เก่า​ของ​เรา​นั้น​ถูก​ตรึง​ไว้​กับ​พระ‍องค์​แล้ว เพื่อ​ตัว​ที่​บาป​นั้น​จะ​ถูก​ทำ‍ลาย​ให้​สิ้น‍ไป และ​เรา​จะ​ไม่​เป็น​ทาส​ของ​บาป​อีก‍ต่อ‍ไป 7เพราะ‍ว่า​ผู้​ที่​ตาย​แล้ว​ก็​พ้น​จาก​บาป 8แต่​ถ้า​เรา​ตาย​แล้ว​กับ​พระ‍คริสต์ เรา​เชื่อ​ว่า​เรา​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​กับ​พระ‍องค์​ด้วย 9เรา ​รู้​อยู่​ว่า พระ‍เจ้า​ทรง​ให้​พระ‍คริสต์​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ตาย แล้ว​พระ‍องค์​จะ​ไม่​ตาย​อีก ความ​ตาย​จะ​ไม่‍มี​อำนาจ​เหนือ​พระ‍องค์​ต่อ‍ไป 10ด้วย‍ว่า ​ซึ่ง​พระ‍องค์​ได้​ทรง​ตาย​นั้น​พระ‍องค์​ได้​ทรง​ตาย​ต่อ​บาป​ครั้ง​เดียว ​เป็น​พอ แต่​ซึ่ง​พระ‍องค์​ทรง​ชีวิต​อยู่​นั้น พระ‍องค์​ทรง​ชีวิต​สนิท​กับ​พระ‍เจ้า 11ใน​ทำ‌นอง​เดียว‍กัน พวก‍ท่าน​จง​ถือ‍ว่า​ท่าน​ได้​ตาย​ต่อ​บาป และ​มี​ชีวิต​สนิท​กับ​พระ‍เจ้า​โดย​พระ‍เยซู‍คริสต์ (โรม 6:1-11)

ในตอนที่พระกิตติคุณถูกนำเสนอ เป็นเหมือนบางสิ่งที่ “เพิ่มเติม” เข้ามา ผู้คนหลงเชื่อไปว่าพวกเขายังดำเนินชีวิตในแบบเดิมๆอย่างที่เคยได้ และยังได้รับความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ พระกิตติคุณไม่ใช่เป็นการปะของใหม่เข้าไปนะครับ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นน้ำองุ่นหมักใหม่ เมื่อเราได้รับความรอดแล้ว เราได้รับความรอดเพื่อมีชีวิตใหม่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ได้เข้ามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า แต่เราต้องตายต่อวิถีชีวิตเดิมๆด้วย:

17เพราะ‍ฉะนั้น ข้าพ‌เจ้า​ขอ​กล่าว​เช่น‍นี้​และ​ยืน‍ยัน​ใน​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ว่า อย่า​ดำ‌เนิน​ชีวิต​แบบ​เดียว​กับ​ที่​พวก​ต่าง‍ชาติ​ดำ‌เนิน​กัน​ อีก‍ต่อ‍ไป คือ​มี​ใจ​จด‍จ่อ​อยู่​กับ​สิ่ง‍ไร้‍สาระ 18ความ ​คิด​ของ​เขา‍ทั้ง‍หลาย​ถูก​ทำ​ให้​มืด‍มน​ไป และ​เขา​ขาด​จาก​ชีวิต​ที่​มา​จาก​พระ‍เจ้า​เนื่อง‍จาก​ความ​ไม่​รู้​ที่​ อยู่​ใน​ตัว และ​ความ​แข็ง‍กระ‌ด้าง​ใน​จิต‍ใจ 19พวก‍เขา​ไม่‍มี​ความ​รู้‍สึก​ละ‍อาย​และ​ปล่อย​ตัว​ใน​การ​ลา‌มก​เพื่อ​ทำ ​การ​โส‌โครก​ทุก​แบบ​โดย​ปราศ‌จาก​การ​เหนี่ยว‍รั้ง​ตน 20แต่​ท่าน​ทั้ง‍หลาย​ไม่‍ได้​เรียน‍รู้​ถึง​พระ‍คริสต์​แบบ​นั้น 21พวก‍ท่าน ​เคย​ฟัง​เรื่อง​ของ​พระ‍องค์​แล้ว​อย่าง​แน่‍นอน และ​เคย​ได้​รับ​การ​สอน​เรื่อง​พระ‍องค์​ตาม​สัจ‌ธรรม​ที่​อยู่​ใน​ พระ‍เยซู​แล้ว 22คือ​ได้​รับ​การ​สอน​ให้​ทิ้ง​ตัว​เก่า​ของ​พวก‍ท่าน​ที่​คู่​กับ​การ​ ประ‌พฤติ​แบบ​เดิม ซึ่ง​ถูก​ตัณ‌หา​ล่อ‍ลวง​ทำ​ให้​พินาศ​ไป 23และ​ให้​วิญ‌ญาณ​และ​จิต‍ใจ​ของ​พวก‍ท่าน​ได้​รับ​การ​เปลี่ยน​ใหม่ 24และ​รับ​การ​สอน​ให้​สวม​สภาพ​ใหม่​ซึ่ง​ได้​รับ​การ​สร้าง​ขึ้น​ตาม​แบบ​ ของ​พระ‍เจ้า​ใน​ความ​ชอบ‍ธรรม​และ​ความ​บริ‌สุทธิ์​อย่าง​แท้‍จริง (เอเฟซัส 4:17-24)

ขอพระเจ้านำพระวจนะของพระองค์จากในพระกิตติคุณมัทธิวมาใช้เพื่อให้เรา โอบกอดพระผู้ช่วยให้รอดของเราไว้ พระองค์ผู้เดียวคือหนทางที่เราจะได้รับการอภัยบาป และได้เข้าส่วนมีสามัคคีธรรมเฉลิมฉลองกับองค์พระผู้เป็นเจ้า


1 1 ลิขสิทธิ 2003 โดย Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. ดัดแปลงจากต้นฉบับของบทเรียนที่ 38 ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย ศบ โรเบิร์ต แอล เดฟฟินบาว พฤษภาคม 30, 2004

2 2 นอกเหนือจากที่บ่งไว้ พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.

3 3 จากหนังสือของ William Hendriksen, Exposition of the Gospel According to John, 2 vols. (Grand Rapids: Baker Book House, 1953-1954), vol. 2, p. 122.

4 4 ผมคิดว่าการแปลแบบนี้คงต้องมีเหตุผล ถ้าตามเนื้อหาบ่งว่าพระเยซูทรงเห็น ทรงรู้ความคิด หรือรู้เหตุผลพวกเขาอย่างที่บางฉบับแปล ทั้งมาระโก 2:8 และลูกา 5:22 ทำให้เห็นชัดว่าพระเยซูทรงแยกแยะความคิดในใจพวกเขาได้ หรืออาจเป็นได้ที่พวกเขากระซิบกระซาบกัน แต่ไม่คิดว่าเนื้อหาตอนนี้ ตอนที่พระเยซูประกาศว่าทรงเป็นพระเจ้า แล้วคิดว่าผู้เขียนกำลังบอกว่าพระองค์ทรงอ่านจากภาษากายของพวกเขา

5 5 เรารู้แน่นอนว่าการสำนึกผิดกลับใจที่แท้จริงและความเชื่อจะเกิดผล “จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น” (มัทธิว 3:8 และ 7:15-20) แต่ตรงนี้พระเยซูทรงพูดถึงในทันที ไม่มีข้อหักล้าง พิสูจน์ได้

6 6 มัทธิว มาระโก และลูกา

7 7 ในมัทธิว 10:3 บอกว่า “มัทธิวเป็นคนเก็บภาษี”

8 8 เป็นได้หรือไม่ที่ลูกา 18:9-14 เป็นมากกว่าคำอุปมา? และคนเก็บภาษีที่พูดถึงอาจเป็นมัทธิว? เพราะเรื่องการทรงเรียกของมัทธิวอาจสนับสนุนพระวจนะตอนนี้ ถึงแม้ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นมัทธิวก็ตาม

9 9 “ในสองวัน”

10 10 ”ในวันที่สาม”

11 11 ที่อ่านจากในหนังสืออพยพ 24:9-11 ไม่มีพระวจนะตอนอื่นที่พูดเรื่องแบบเดียวกันนี้ในพระคัมภีร์เดิม เป็นเหตุการณ์ที่แทบไม่เคย และไม่คาดคิดมาก่อน เป็นการเล็งถึงสวรรค์

Related Topics: Christology, Cultural Issues, Fasting

Report Inappropriate Ad