21. มัทธิว บทเรียนที่ 21 “ทำไมพระเยซูไม่ปรับไปตามที่มนุษย์คาดหวัง หรือ ทำไมพระเยซูเลี้ยงฉลองในขณะที่คนอื่นๆอดอาหาร (มัทธิว 9:1-17)
Related Mediaคำนำ1
ผู้นำศาสนาชาวยิวเริ่มร้อนรุ่ม พระเยซูดูจะเป็นภัยคุกคาม พวกเขารู้ดี ที่จริงพระเยซูทรงเป็นภัยคุกคามมาตั้งแต่ต้น จำปฏิกิริยาของชาวเยรูซาเล็มได้หรือไม่ (เมืองที่ผู้นำศาสนาชาวยิวหลายคนอาศัย) ต่อข่าวเรื่องการประสูติของ “กษัตริย์ชาวยิว”:
1พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้าน เบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรดภายหลังมีพวก นักปราชญ์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็มถามว่า 2“พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้น อยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออกและเราจึงมาเพื่อจะ นมัสการท่าน” 3เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินดังนั้นแล้วก็วุ่นวายพระทัยทั้ง ชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย (มัทธิว 2:1-3)2
ต่อมาในพระกิตติคุณยอห์น เราพบสาเหตุที่ทำไมชาวเยรูซาเล็มถึงวุ่นวายใจนัก พวกเขาพูดออกมาเอง:
47 ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิ กสภาแล้วพูดกันว่า “เราจะทำอย่างไรกันดีเพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย? 48ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขาแล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา”(ยอห์น 11:47-48)
ผู้นำศาสนาชาวยิวต่างกินดีอยู่ดี มีตำแหน่ง บารมี และมีอำนาจ ซึ่งแปลว่าสามารถใช้อำนาจที่มีหาผลประโยชน์ให้ตนเองได้ ตัวอย่างเช่นรับแลกเงิน ผูกขาดการขายสัตว์ที่ใช้ในพิธีถวายบูชาในพระวิหาร น่าจะเป็นสิทธิขาดของมหาปุโรหิต3พวกเขาต้องเสียผล ประโยชน์มหาศาลถ้าพระเมสซิยาห์เสด็จมา อะไรๆที่เคยได้ก็จะไม่เหมือนเดิม จึงหวาดกลัวพระเยซูตั้งแต่ในรางหญ้าไปจนถึงเมื่อเทศนาที่บนภูเขาในมัทธิว 5-7
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่ได้ช่วยให้พวกเขาจิตใจสงบลง แต่กลับประกาศว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา:
29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาหาท่านท่านจึงกล่าว ว่า“จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป 30 พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้าเสด็จ มา เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ 31ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์แต่เพื่อให้พระองค์เป็นที่ ประจักษ์แก่อิสราเอลข้าพเจ้าจึงให้บัพติศมาด้วยน้ำ” 32และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนดังนกพิราบ และสถิตกับพระองค์ 33ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์แต่พระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพเจ้า มาให้บัพติศมาด้วยน้ำได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่กับคนใดคนนั้นแหละจะ เป็นคนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 34และข้าพเจ้าก็เห็นแล้วและเป็นพยานว่าพระองค์นี้แหละเป็น พระบุตรของพระเจ้า” (ยอห์น 1:29-34)
ผู้คนทั้งใกล้และไกลต่างก็มาฟังคำเทศนาของยอห์นและรับบัพติศมาจากท่าน พวกปุโรหิตและเลวีต่างก็ตระหนักถึงอิทธิพลของยอห์น และส่งคนออกไปคอยเฝ้าดู:
19 นี่เป็นคำพยานของยอห์นคือเมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวก เลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า “ท่านคือใคร?” 20ท่านก็ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ คือยอมรับว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์” 21พวกเขาจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นใคร?ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นหรือ?” และยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่” 22พวกเขาจึงถามว่า “แล้วท่านเป็นใคร? ขอให้ตอบมาจะได้ไปบอกคนที่ใช้เรามาท่านจะตอบเรื่องตัวท่าน ว่าอย่างไร?” 23ท่านตอบว่า“เราเป็นเสียงของคนที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดาร ว่า‘จงทำมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’ตามที่อิสยาห์ ผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ (ยอห์น 1:19-23)
ยอห์นไม่เคยอยู่ในระบบศาสนาเหมือนผู้เป็นบิดา (ลูกา 1:5-25) ท่านอาศัยในถิ่นทุรกันดาร ไม่ได้อยู่ในเยรูซาเล็ม ผู้คนต้องไปหาท่านเพื่อฟังคำเทศนา และเมื่อพวกฟาริสี และสะดูสีมาหายอห์นเพื่อรับบัพติศมา ท่านปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่รุนแรง:
7เมื่อยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีมากันเป็นจำนวนมากเพื่อจะรับบัพติศมาท่านจึง กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “พวกชาติงูร้ายใครเตือนพวกท่านให้หนีจากพระพิโรธที่จะมานั้น 8เพราะฉะนั้นจงเกิดผลให้สมกับการกลับใจ 9อย่าทึกทักว่าตัวเองมีอับราฮัมเป็นบรรพบุรุษเพราะข้าพเจ้า บอกพวกท่านว่าพระเจ้าทรงสามารถให้บุตรแก่อับราฮัมจากก้อนหิน เหล่านี้ได้ 10บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้วและทุกต้นที่ไม่เกิดผล ดีจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ 11ข้าพเจ้าให้ท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำแสดงว่ากลับใจใหม่ก็ จริงแต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังข้าพเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าข้า พเจ้าซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของ พระองค์พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ บริสุทธิ์และด้วยไฟ 12พระองค์ทรงถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์แล้วและจะทรงชำระลานข้าว ของพระองค์ให้ทั่วพระองค์จะทรงรวบรวมเมล็ดข้าวของพระองค์ไว้ ในยุ้งฉางแต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่มีวันดับ” (มัทธิว 3:7-12)
เมื่อยอห์นจากไป พระเยซูทรงเข้ามาสานงานต่อจากท่าน:
ตั้งแต่นั้นมาพระเยซูทรงตั้งต้นประกาศว่า“จงกลับใจใหม่เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17 เทียบกับ 3:2)
เช่นเดียวกับยอห์น พระเยซูไม่ทรงยอมปรับไปตามระบอบศาสนาของยุคนั้น ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูทรงเห็นด้วยกับยอห์นว่าพวกผู้นำศาสนาในยุคนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดิน สวรรค์ (ถ้าไม่ยอมสำนึกผิดกลับใจจริง และมาเชื่อในพระเยซูคริสต์)
“เพราะเราบอกพวกท่านว่าถ้าความ ชอบธรรมของท่านไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และ พวกฟาริสีพวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:20)
จากตรงนี้พระเยซูทรงเข้าไปแก้ไขคำสอนที่ผิดๆของผู้นำศาสนายิว ในข้อต่อไปของมัทธิว พระเยซูทรงเริ่มทำให้การตีความธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมชัดเจนถูกต้อง:
21“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าว ไว้กับคนในสมัยก่อนว่า ‘ห้ามฆ่าคน ถ้าใครฆ่าคน คนนั้นจะต้องถูกพิพากษา’ 22 แต่เราบอกพวกท่านว่าใครโกรธพี่น้องของตนคนนั้นจะต้องถูกพิ พากษาถ้าใครพูดกับพี่น้องอย่างเหยียดหยามคนนั้นจะต้องถูกนำ ไปยังศาลสูงให้พิพากษาและถ้าใครพูดว่า‘อ้ายโฉด’ คนนั้นจะมีโทษถึงไฟนรก” (มัทธิว 5:21-22)
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระเยซูทรงแก้ไขความผิดพลาดนั้นด้วยถ้อยคำว่า “ท่านทั้งหลายได้ยิน …. แต่เราบอกพวกท่านว่า ….” ข้อผิดพลาดที่พระองค์แสดงให้เห็นเป็นคำสอนที่มาจากพวกผู้นำศาสนาชาวยิว
แต่พระเยซูกลับดูเป็นภัยคุกคามกว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมา – สิทธิอำนาจที่ทรงสำแดง ทรงรับรองด้วยการอัศจรรย์ของพระองค์ :
40พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน อีกและไปถึงตำบลที่ยอห์นเคยให้บัพติศมาแล้วพระองค์ทรงพัก อยู่ที่นั่น 41คนจำนวนมากพากันมาหาพระองค์กล่าวว่า “ถึงยอห์นไม่ได้ทำหมายสำคัญอะไรเลยแต่ทุกสิ่งที่ยอห์น กล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง” 42และมีคนที่นั่นหลายคนวางใจในพระองค์ (ยอห์น 10:40-42)
พระเยซูทรงรับรองคำสอนของพระองค์ด้วยการอัศจรรย์ครั้งแล้วครั้งเล่า มัทธิวบ่งชัดว่าพระเยซูทรงสนับสนุนคำสอนของพระองค์ด้วยการทำอัศจรรย์หลาย ครั้งและหลายแบบ ทำให้มีผู้คนมากมายติดตามพระองค์ไป:
23พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้น กาลิลีทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขาทรงประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและทรงรักษาบรรดาโรคภัยไข้เจ็บของ ชาวเมืองให้หาย 24กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรียพวกเขา จึงพาคนทั้งหลายที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆพวกที่เจ็บปวดทรมานพ วกที่ถูกผีเข้าพวกที่เป็นลมบ้าหมูและเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย 25และมีมหาชนติดตามพระองค์ซึ่งมาจากแคว้นกาลิลีแคว้นทศบุรี กรุงเยรูซาเล็มแคว้นยูเดียและแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก (มัทธิว 4:23-25)
16 พอค่ำลง พวกเขาพาคนจำนวนมากที่มีผีสิงมาหาพระองค์พระองค์ก็ทรง ขับผีออกด้วยพระดำรัส และบรรดาคนเจ็บป่วยนั้นพระองค์ก็ทรงรักษาให้หาย 17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสผ่านอิสยาห์ ผู้เผยพระวจนะที่ว่า“ท่านแบกความเจ็บไข้ของเราและหอบโรคของ เราไป”(มัทธิว 8:16-17)
มัทธิวไม่ได้ปูฉากหลังให้เห็นเหมือนลูกา ให้มาดูพระวจนะตามที่ลูกาบันทึกเพื่อใช้ประกอบการเรียน:
17ต่อมาวันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่มีพวกฟาริสีและพวกอาจารย์สอน ธรรมบัญญัติมานั่งอยู่ด้วยเป็นคนที่มาจากทั่วทุกหมู่บ้านใน แคว้นกาลิลีแคว้นยูเดียและกรุงเยรูซาเล็มฤทธิ์เดชของ องค์พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่กับพระองค์เพื่อที่จะรักษาโรคได้ 18และนี่แน่ะมีบางคนหามคนง่อยซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาพวกเขา พยายามหาทางหามคนง่อยเข้ามาวางตรงหน้าพระองค์ (ลูกา 5:17-18)
ดูเหมือนมีการพูดคุยกันมากมายในท่ามกลางผู้นำศาสนาชาวยิว – ในห้องลับ – พวกเขากำลังสงสัยว่าพระเยซูจะเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อการเป็นผู้นำของพวก เขา จำเป็นต้องออกไปตรวจสอบ ดังนั้นพวกครูสอนธรรมบัญญัติและฟาริสีจากทั่วทุกสารทิศ จึงมาอยู่ในท่ามกลางผู้คน พวกนี้ไม่ได้มาอย่างเปิดใจ หรือพยายามเสาะหาว่าพระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์จริงหรือ ผมว่าพวกเขาคงไม่เคยถามตัวเอง “เรื่องนี้เป็นจริงหรือ? พระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์จริงหรือ?” พวกเขามัวแต่กลัวว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราปล่อยไปโดยไม่ทำอะไร แล้วเกิดผู้คนไปเลือกตามพระเยซู แล้วเลิกตามพวกเราล่ะ? พวกเขาต้องไปตรวจสอบคนๆนี้ และหาทางจัดการกับความเสียหายก่อนที่จะสายไป
ผู้คนมากมายไปรวมตัวกันที่บ้านในคาเปอร์นาอุม ไปฟังคำสอนของพระเยซู (มาระโก 2:1-2) ฤทธิอำนาจของพระองค์ก็ทรงสำแดงที่นั่นด้วย ทรงทำการอัศจรรย์รักษาโรค (ลูกา 5:17) ที่นั่นจึงแน่นขนัดจนคนเข้าไปอีกไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงชายสี่คนที่หามคนง่อยมาบนแคร่ หลายคนอยากมาฟังคำสอน อยากเก็บไว้ทุกถ้อยคำ บางคนหวังว่าจะได้รับการรักษาโรค แล้วก็มีครูสอนธรรมบัญญัติและพวกฟาริสี นั่งกอดอกฟังอยู่ด้วย มาตรวจสอบหน้าใหม่ในวงการที่ไม่ได้ผ่านตราประทับรับรองจากพวกเขา (และที่จริงเป็นฝ่ายตรงข้ามอีกต่างหาก)
พระเยซูและคนง่อย : คนบาปที่ได้รับการอภัย (มัทธิว 9:1-8)
1พระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากไปยัง เมืองของพระองค์ 2นี่แน่ะเขาทั้งหลายหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอน มาหาพระองค์เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขาจึง ตรัสกับคนง่อยว่า“ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิดบาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” 3เมื่อได้ยินดังนั้นพวกธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า“คนนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้า” 4พระเยซูทรงทราบความคิด4 ของพวกเขาจึงตรัสว่า“ทำไมพวกท่านจึงคิดการชั่วอยู่ในใจ? 5 การที่พูดว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน? 6ทั้งนี้เพื่อให้ท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะ อภัยบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านของท่าน” 7เขาจึงลุกขึ้นไปบ้าน 8เมื่อฝูงชนเห็นดังนั้นพวกเขาก็เกรงกลัวแล้วพากันสรรเสริญ พระเจ้าผู้ประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์ (มัทธิว 9:1-8)
น่าสนใจที่มัทธิวตัดตอนที่น่าสนใจที่สุดออกไป แต่มาระโกและลูกากลับบันทึกไว้ :
3 มีคนสี่คนหามคนง่อยคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ 4แต่เมื่อพวกเขาไม่สามารถเข้าไปถึงตัวของพระองค์เพราะมีคน มากพวกเขาจึงเจาะดาดฟ้าตรงที่พระองค์ประทับนั้นและเมื่อทำ เป็นช่องแล้วพวกเขาก็หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ลงไป 5เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขาพระองค์จึง ตรัสกับคนง่อยว่า“ลูกเอ๋ยบาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 6แต่มีพวกธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ที่นั่นและคิดในใจว่า 7“ทำไมคนนี้พูดอย่างนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าองค์ เดียว” 8พระเยซูทรงทราบในพระทัยทันทีว่าพวกเขาสนทนากันในหมู่ พวกเขาอย่างนั้น จึงตรัสว่า “ทำไมพวกท่านถึงคิดในใจอย่างนี้ 9การที่พูดกับคนง่อยว่า‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน 10ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลก ที่จะอภัยบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า 11“เราสั่งท่านว่า จงลุกขึ้นยกแคร่แล้วกลับบ้านของท่าน” 12คนง่อยก็ลุกขึ้นแล้วยกแคร่ของตนทันทีเดินออกไปต่อหน้าคน ทั้งหลายทุกคนก็ประหลาดใจและสรรเสริญพระเจ้ากล่าวว่า “เราไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้เลย”(มาระโก 2:3-12) ดูลูกา 5:18-26 ด้วย
คนง่อยคนนี้ไม่ได้มาหาพระเยซูเหมือนคนอื่นๆ เขาถูกหย่อนลงมาจากหลังคา ผมคิดว่ามัทธิวน่าจะบันทึกเหตุการณ์ที่น่าสนใจนี้ไว้ แต่ท่านไม่ได้ทำ มัทธิวไม่ได้เล่าเรื่องที่มนุษย์มักสนใจ ท่านประกาศข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ อะไรสำคัญกว่ากัน รู้เรื่องคนง่อยถูกหย่อนมาจากหลังคา หรือรู้ว่าพระเยซูทรงมีอำนาจยกบาปได้? มัทธิวไม่มีเวลาเล่าเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องน่าสนใจก็ตาม เป้าหมายของท่านคือนำเสนอพระกิตติคุณ ข่าวประเสริฐที่พระเมสซิยาห์เสด็จมาเพื่อช่วยคนบาป
ผมอยากให้คุณสังเกตุบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ การตอบสนองของพระเยซูทำให้เห็นถึงความเชื่อของคนอื่นๆด้วย พระเยซูทรงสังเกตุเห็น “ความเชื่อของพวกเขา”:
2นี่แน่ะเขาทั้งหลายหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขาจึงตรัสกับคนง่อยว่า“ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิดบาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” (มัทธิว 9:2)
ผมไม่อยากมองข้ามความจริงว่า “ของพวกเขา” อาจหมายถึงความเชื่อของชายห้าคน ไม่ใช่แค่สี่ ไม่ได้แนะนำว่าชายง่อยได้รับความรอดเพราะความเชื่อส่วนตัวของเขา แต่อยากให้เรามาดูว่ามัทธิวกำลังบอกอะไร – ความเชื่อของชายทั้งสี่มีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาชายง่อย แม้แต่ได้รับการอภัยบาป พระเยซูทรงตอบสนองต่อความเชื่อของคนอื่นๆเมื่อทรงรักษาชายง่อย และอภัยบาปของเขา เป็นคำหนุนใจสำหรับพวกเราที่ควรอธิษฐานให้บ่อยขึ้น และด้วยใจร้อนรนเพื่อผู้อื่น ความเชื่อของผู้ชายกลุ่มนี้ สำแดงออกโดยยื่นมือเข้าไปจัดการและช่วยเหลือเพื่อนที่เป็นง่อย ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับพระพรแห่งการรักษา แต่ยังได้รับการอภัยบาปอีกด้วย คำอธิษฐานของเราเพื่อผู้หลงหายนั้นมีความหมายมาก ผมมองไม่เห็นว่าจะเข้าใจเป็นอื่นไปได้อย่างไร
แต่ทำไมพระเยซูถึงไปไกลเกินกว่าสิ่งที่ผู้ชายกลุ่มนี้ร้องขอ? ผมขอให้เหตุผลสามประการ
ประการแรก เมื่อนำพระวจนะตอนนี้ไปพิจารณาผ่านสิ่งที่ อ เปาโลเขียนถึงชาวเอเฟซัส:
20ขอให้พระเกียรติมีแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิดโดยฤทธานุภาพที่ทำกิจอยู่ภายในเรา 21ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักรและในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์อาเมน (เอเฟซัส 3:20-21)
พระเจ้าทรงนำพระสิริมาสู่พระองค์โดยขยายขอบเขตแห่งพระพรต่อคำทูลขอและ ความคาดหวังของเรา คงไม่ต้องสงสัยว่าพระเจ้าทรงนำพระสิริมาสู่พระองค์โดยทำอัศจรรย์รักษาชาย ง่อย เพราะมีบันทึกอยู่ในพระวจนะตอนนี้ :
8เมื่อฝูงชนเห็นดังนั้นพวกเขาก็เกรงกลัว แล้วพากันสรรเสริญพระเจ้าผู้ประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์ (มัทธิว 9:8)
ประการที่สอง ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงอภัยบาปให้ชายคนนี้เพราะทำให้เขามีใจกล้ามาเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้า ผมอ้างจากคำตรัสของพระเยซู “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิดบาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” (มัทธิว 9:2) เราพบถ้อยคำนี้สามแห่งในพระกิตติคุณมัทธิว ในตอนนี้และตามมาในบทเดียวกัน :
20นี่แน่ะมีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรค ตกโลหิตได้สิบสองปีแล้วแอบมาข้างหลังแตะต้องชายฉลองพระองค์ 21เพราะนางคิดในใจว่า “ถ้าฉันได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้นฉันก็จะหายโรค” 22พระเยซูทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรเห็นเข้าจึงตรัสว่า“ลูกหญิง เอ๋ยจงชื่นใจเถิด ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ” นับตั้งแต่เวลานั้นผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ (มัทธิว 9:20-22)
หญิงคนนี้เชื่อว่าเธอจะได้รับการรักษาให้หาย ถ้าเพียงแต่ได้แตะต้องชายฉลองพระองค์ของพระเยซู มีหลายคนได้รับการรักษาโดยแตะชายฉลองของพระองค์ แต่พวกเขาทูลขอก่อน (มัทธิว 9:35-36) ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้กลัวไม่กล้าขอ เธอจึง “แอบ” แตะและได้รับการรักษา พระเยซูไม่ต้องการให้เป็นแค่นั้น พระองค์จึงทรงเรียกเธอ ตอนนี้เธอตกใจจริงๆ เรากล้าดียังไงที่แอบขโมยรับการรักษาแล้วตอนนี้คงต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระ เยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าคนจำนวนมากด้วย? เธอมีความเชื่อจึงได้รับการรักษา แต่ความกลัวทำให้ไม่กล้าเข้าไปไกล้บุตรของพระเจ้า พระเยซูจึงตรัสว่า “จงชื่นใจเถิด ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ”
คำว่า “จงชื่นใจเถิด” ปรากฎครั้งสุดท้ายในมัทธิวบทที่ 14:
26เมื่อสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนิน มาบนทะเลเขาทั้งหลายก็แตกตื่นพูดกันว่าต้องเป็นผีและร้อง ด้วยความกลัว 27พระเยซูตรัสกับพวกเขาทันทีว่า “ทำใจดีดีเถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย”(มัทธิว 14:26-27)
พวกสาวกอยู่ในเรือเมื่อพระเยซูเสด็จมาหา ดำเนินมาบนน้ำ พวกเขาไม่รู้ว่านั่นเป็นใคร จึงกลัวกันแทบตาย โทษพวกเขาได้มั้ย? และพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ทำใจดีดีเถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” (มัทธิว 14:27ข) เมื่อได้ยิน พวกเขาก็ไม่ได้กลัวผู้ที่ดำเนินมาบนน้ำอีกต่อไป แต่กลับเชิญพระองค์ขึ้นเรือ
ผมเชื่อว่าชายง่อยคนนี้คงกลัวจริงๆ เหมือนหญิงที่โลหิตตก และเหมือนพวกสาวกที่คิดว่าเห็นผี พวกเขากลัวที่จะอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ชายคนนี้คงมีความกล้าระดับหนึ่ง พอที่เชื่อว่าเขาจะได้รับการรักษาให้หาย เขามีความเชื่อในพระเยซู และถ้าเขาคิดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสซิยาห์ ก็เป็นการดีที่สมควรกลัวต่อเบื้องพระพักตร์ เพราะอะไร เพราะละอายต่อความบาป จนไม่กล้าเข้าใกล้พระเมสซิยาห์?
พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกธรรมาจารย์ ซึ่งเราจะได้เห็นต่อไป (ข้อ 4) พระองค์ยังทรงทราบถึงจิตใจของชายทั่งสี่ที่หามแคร่มา (ทรง “เห็น” ความเชื่อของพวกเขา ข้อ 2) แล้วทำไม พระองค์จะไม่ทรงรับรู้ความคิดและความกลัวของชายง่อย? ถ้าชายง่อยคนนี้มีความเชื่อว่าพระเยซูทรงรักษาเขาได้ เขาก็ต้องรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด แล้วคนอย่างเขา คนบาปที่ไม่สมควร จะเข้าไปใกล้บุตรของพระเจ้าและหวังจะได้รับการรักษาได้อย่างไร? เป็นคำถามที่ดีมากๆ เมื่อทรงทราบ พระเยซูทรงขจัดความกลัวออกไปจากเขา ให้กำลังใจ ตรัสบอกเขาว่าบาปของเขาได้รับการอภัยแล้ว ถ้อยคำของพระองค์ปลอบใจและให้ความมั่นใจว่าจะทรงเติมความต้องการฝ่ายวิญญาณ ให้เขา และถ้อยคำต่อจากนั้นเป็นการเติมเต็มความต้องการฝ่ายกาย
ประการที่สาม พระเยซูให้อภัยบาปชายคนนี้เพราะทรงทราบว่าพวกพวกธรรมาจารย์จะแปลความหมายออก พระเยซูกำลังประกาศว่าพระองค์คือพระเจ้า และประกาศต่อหน้าผู้คนอย่างชัดเจนว่าทรงอภัยความบาปให้ชายง่อยคนนี้ได้ พวกธรรมาจารย์ไม่พลาดประเด็นนี้แน่ พวกเขาคิดในแง่ของศาสนศาสตร์ทันที และให้เหตุผลถูกต้องด้วย “…ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?” (ลูกา5:21) บางทีอาจนึกได้ว่าเป็นพระวจนะจากหนังสืออิสยาห์:
25“เรา เราเองคือผู้นั้นผู้ลบล้างการทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง
และเราจะไม่จดจำบาปของเจ้า” (อิสยาห์ 43:25)
สังเกตุดูมัทธิวไม่ได้บันทึกคำว่า “ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?”เพราะคงไม่มีความจำเป็น ในอีกมุม เราพบถ้อยคำนี้อยู่ในทั้งมาระโกและลูกา ส่วนมัทธิวกลับบันทึกคำกล่าวหาว่า “คนนี้หมิ่นประมาทพระเจ้า” (มัทธิว 9:3) พระเยซูถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะทรงอ้างว่าพระองค์คือพระเจ้า
33 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า“เราจะขว้างท่านไม่ใช่เพราะการดีใดๆ แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าเพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 10:33) ดู ยอห์น 5:18; 19:17 ด้วย
สังเกตุดูพวกธรรมาจารย์ไม่ได้พูดคำกล่าวหาออกมา หรือท้าทายพระเยซูต่อหน้าฝูงชน ทำไม? ผมคิดว่าเพราะพระเยซูไม่เปิดโอกาสให้ ทรงไม่ทันให้พวกเขาตั้งตัวโดยตีแผ่ความคิดของพวกเขาก่อนที่จะกล้าประท้วง และนี่คืออีกบทพิสูจน์ว่าพระองค์คือบุตรของพระเจ้า
ตรรกะของพวกธรรมาจารย์นั้นไม่มีตำหนิ พวกเขาพูดไปตามที่วินิจฉัย แต่พวกเขาจะกล้าไปตามหลักฐานที่เกิดขึ้นจนที่สุดหรือ? แรก พระเยซูทรงประกาศอย่างตรงๆว่าทรงมีอำนาจยกบาปได้ โดยการยกโทษบาปให้ชายที่เป็นง่อย และทรงตีแผ่ความคิดภายในของพวกธรรมาจารย์ ที่ต่อต้านคำประกาศนี้ด้วยข้อหาดูหมิ่นพระเจ้า จากนั้นพระองค์ทรงทดสอบให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระองค์ “…ที่พูดกับคนง่อยว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน?
ถ้าเป็นสมัยนี้เราคงใช้คำว่า “หุบปากไปเลย” แปลว่าถ้าพิสูจน์คำพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด ตรงนี้พระเยซูไม่ได้พูดเกี่ยวกับความสามารถเอ่ยคำพูดบางคำออกมา พระองค์กำลังถามว่า “ใครจะสามารถพูดถ้อยคำนี้และแสดงให้เห็นว่าคำพูดของเขาสำเร็จลงตามที่พูด?” ในแง่นั้น มันง่ายกว่าหรือไม่ที่จะพูดว่า “บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว แทนที่จะพูดว่า “จงลุกขึ้นเดินไปเถิด” คุณไม่อาจเห็นผลทันทีเรื่องการอภัยบาป เพราะเป็นเรื่องจิตใจภายใน จะเห็นผลได้ต้องใช้เวลา5 ดังนั้นจึงง่ายกว่าที่จะพูดเช่นนั้น เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตา แต่ถ้าพระเยซูตรัสว่า “จงลุกขึ้นเดินไปเถิด” พระองค์ต้องรับรองสิ่งที่ตรัสด้วยการรักษาชายคนนี้ในทันที หรือกลายเป็นว่าคำตรัสของพระองค์นั้นว่างเปล่า
พระเยซูทรงพิสูจน์ตนเองในสิ่งที่พระองค์ตรัส แต่ใช้วิธีที่แยบยล ทรงเชื่อมโยงการอัศจรรย์รักษาโรค เข้ากับสิทธิอำนาจในการยกบาป ตรรกะนี้ทำให้พวกธรรมจารย์คิดออกว่า ไม่มีใครยกบาปได้เว้นแต่พระเจ้า ทำให้พวกเขาสรุปได้ว่าพระเยซูคือพระเจ้านั่นเอง ถ้าพระองค์อภัยบาปได้ และตอนนี้พระองค์ทรงเชื่อมโยงอีกตรรกะเข้าไป – ถ้าพระองค์ทรงรักษาชายง่อยนี้ได้ (ซึ่งมองดูยากกว่า) ที่แน่ๆคือทรงอภัยบาปให้ได้ (ซึ่งดูง่ายกว่า) ถ้าพระเยซูทรงรักษาชายง่อยได้ พระองค์ก็ต้องเป็นพระเจ้า
พระเยซูจึงหันไปหาชายง่อยและตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ยกที่นอนกลับไปบ้านของท่าน” (ข้อ 7) ชายง่อยจึงลุกขึ้นและกลับบ้านไปตามคำสั่งของพระเยซู สรุปได้เพียงอย่างเดียว – พระเยซูต้องเป็นพระเจ้า แต่ดูเหมือนคนไม่เข้าใจ พวกธรรมาจารย์เงียบกริบ ฝูงชนประทับใจมาก แต่พวกเขามองไม่ออกว่าพระเยซูคือพระเจ้า:
เมื่อฝูงชนเห็นดังนั้น พวกเขาก็เกรงกลัว แล้วพากันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้น แก่มนุษย์ (มัทธิว 9:8)
ฝูงชนมองว่านี่เป็นการงานของพระเจ้า และดูจะรับรู้แค่ว่าพระเยซูเป็น “คนของพระเจ้า” ไม่ได้ตระหนักว่าพระองค์เองคือพระเจ้า พวกเขาสรรเสริญพระเจ้า (แต่ไม่ใช่พระเยซูในฐานะพระเจ้า) ที่ได้ประทานสิทธิอำนาจนั้นให้ “แก่มนุษย์” พระเยซูจึงเป็นแค่มนุษย์ในสายตาพวกเขา ซึ่งอาจได้รับอำนาจบางอย่างจากพระเจ้า ผมคิดว่าน่าจะหมายความว่าพวกเขาเห็นพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ เหมือนกับชายที่เกิดมาตาบอด (จนกระทั่งพระเยซูบอกเขาอีกแบบ) :
17 พวกเขา จึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า “เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาทำให้ตาของเจ้าหายบอด?” ชายคนนั้นตอบว่า “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ” … 30ชาย คนนั้นตอบว่า “เออ ประหลาดจริงๆ นะที่พวกท่านไม่รู้ว่าคนนั้นมาจากไหน แต่เขาก็ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอดได้ 31เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังคนที่ยำเกรงพระองค์และทำตามพระทัยของพระองค์ 32ตั้งแต่สมัยไหนๆ ก็ไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีคนสามารถทำให้ตาของคนที่บอดแต่ กำเนิดมองเห็นได้ 33ถ้าคนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาจะไม่สามารถทำได้” (ยอห์น 9:17; 30-33)
เราไม่ควรชี้นิ้วด่วนสรุปเอาในตอนนี้ ผมไม่เชื่อว่าพวกสาวกมองเห็นนัยในการอัศจรรย์รักษาโรค เพราะเปโตรเองกว่าจะ “ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์” ก็เข้ามัทธิวบทที่ 16 แล้ว
ผมอยากพูดอีกเรื่องเกี่ยวกับชายง่อยก่อนจะไปเรื่องถัดไป พระเยซูไม่ได้ทรงใช้ชายง่อยนี้ แต่ทรงเป็นห่วงเขา ถึงพระองค์จะใช้สถานการณ์นี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์ไม่เพียงแต่มีฤทธิ อำนาจในการรักษา แต่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ด้วยการอภัยให้ แต่พระเยซูไม่ได้ “ใช้” ชายง่อยคนนี้ในแบบที่พวกผู้นำศาสนาคิด ลองเปรียบเทียบกับพระวจนะตอนนี้ในพระกิตติคุณมัทธิว กับมาระโก:
1แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใน ธรรมศาลาอีก และมีคนที่มือข้างหนึ่งลีบอยู่ที่นั่น 2คนเหล่านั้นคอยเฝ้าดูว่า พระองค์จะรักษาโรคให้คนนั้นในวันสะบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุฟ้องพระองค์ 3พระองค์ตรัสกับคนมือลีบว่า “มาข้างหน้าเถอะ” 4แล้ว พระองค์ตรัสกับคนทั้งหลายว่า “ในวันสะบาโตควรจะทำการดีหรือทำการร้าย ควรจะช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?” คนทั้งหลายก็นิ่งอยู่ 5พระองค์ ทอดพระเนตรดูรอบๆ ด้วยพระพิโรธและเสียพระทัย ที่จิตใจของพวกเขากระด้าง แล้วพระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติ 6พวกฟาริสีจึงออกไปและปรึกษากับพรรคพวกของเฮโรดทันทีว่าทำ อย่างไรพวกเขาถึงจะฆ่าพระองค์ได้ (มาระโก 3:16)
พวกธรรมาจารย์และฟาริสีไม่ได้เป็นห่วงผู้คน พวกเขาขาดความเมตตาสงสาร (ซึ่งเป็นประเด็นของพระเยซูในมัทธิว 9:13) ดูความใจดำของพวกเขาที่มีต่อคนที่กำลังทนทุกข์:
10ขณะที่พระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ ที่ธรรมศาลาแห่งหนึ่งในวันสะบาโต 11 มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผีเข้าสิงซึ่งทำให้นางเป็นโรคมา สิบแปดปีแล้วอยู่ที่นั่นด้วย หลังของนางก็โกง ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย 12เมื่อ พระเยซูทอดพระเนตรเห็นจึงทรงเรียกและตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เธอได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากโรคของเธอแล้ว” 13เมื่อพระองค์วางพระหัตถ์บนตัวนาง ทันใดนั้นนางก็ยืดตัวตรงได้และสรรเสริญพระเจ้า 14แต่ นายธรรมศาลาไม่พอใจ เพราะพระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโต จึงพูดกับฝูงชนว่า “มีถึงหกวันสำหรับทำงาน จงมาและรับการรักษาโรคภายในหกวันนั้น อย่าทำในวันสะบาโต” 15แต่ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเขาว่า “โอ พวกหน้าซื่อใจคด พวกท่านทุกคนก็ปล่อยวัวปล่อยลาออกจากคอกของมันพาไปกินน้ำ ในวันสะบาโตไม่ใช่หรือ? 16ผู้หญิงคนนี้เป็นบุตรสาวของอับราฮัมซึ่งถูกซาตานผูกมัด ไว้ ถึงสิบแปดปีแล้ว ไม่ควรหรือที่จะให้นางหลุดพ้นจากเครื่องจำจองนี้ใน วันสะบาโต?” 17เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พวกที่เป็นศัตรูกับพระองค์ก็ได้รับความอับอาย แต่ฝูงชนทั้งหมดชื่นชมยินดีกับคุณความดีทุกประการที่ พระองค์ทรงทำ (ลูกา 13:10-17)
พระเยซูทรงมีพระทัยเมตตาสงสารชายง่อย พระองค์ไม่เพียงแต่รักษาอาการของโรค แต่ทรงอภัยบาปให้ด้วย ขณะที่พระเยซูทรงใช้สถานการณ์นี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์มีสิทธิอำนาจยก บาปได้ พระองค์ไม่ได้ทำโดยใช้ชายคนนี้ ทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์แบบ วิน-วิน
พระเยซูและมัทธิว – คนบาปที่ถูกเรียกมาเป็นสาวก (มัทธิว 9:9-13)
9เมื่อ พระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็ทอดพระเนตรเห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป 10เมื่อพระองค์ประทับและเสวยอาหาร อยู่ในบ้าน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆ หลายคน เข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซู และกับบรรดาสาวกของพระองค์ 11เมื่อ พวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของพวกท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับพวก คนเก็บภาษี และพวกคนบาป?” 12เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้วก็ตรัสว่า “คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ 13ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป” (มัทธิว 9:9-13)
ถึงจะไม่ควร แต่อดคิดไม่ได้ว่าอะไรตรงนี้ที่ขาดหายไป พระเยซูทรงผ่านบูธเก็บภาษีของมัทธิวไปกี่หน? และกี่หนที่มัทธิวได้ยินคำสอนของพระองค์ เห็นพระองค์ทำอัศจรรย์รักษาคนป่วย? มัทธิวเคยคิดอยากติดตามพระเยซูมาสักพักหรือเปล่า? ไม่มีบันทึกไว้ แต่มีบันทึกว่าเขาเป็นคนเก็บภาษี เป็นอาชีพที่ถูกมองว่าต่ำที่สุดแล้วในยุคนั้น
17 “ถ้า เขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งต่อคริสตจักร ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีก ก็ให้ถือว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี” (มัทธิว 18:17)
1เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมือง เยรีโคและกำลังเสด็จผ่านไปตามทาง 2มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียสอยู่ที่นั่น เขาเป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมี 3เขาพยายามจะดูว่าพระเยซูเป็นใคร แต่คนมากจึงมองไม่เห็น เพราะเขาเป็นคนเตี้ย 4เขาจึงวิ่งไปข้างหน้า ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อจะได้มองเห็นพระองค์ เพราะว่าพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านทางนั้น 5เมื่อ พระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น พระองค์แหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสกับเขาว่า “ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมา เพราะว่าวันนี้เราจะต้องพักอยู่ในบ้านของท่าน” 6แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี 7ทุกคนที่เห็นแล้วก็พากันบ่นและกล่าวว่า “ท่านผู้นี้จะเข้าไปพักอยู่กับคนบาป” 8ส่วน ศักเคียสนั้นยืนขึ้นทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนยากจนครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์โกงอะไรของใครมา ก็ยอมคืนให้เขาสี่เท่า” 9พระเยซูตรัสกับเขาว่า “วันนี้ความรอดมาถึงบ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นลูกของอับราฮัมด้วย 10เพราะว่าบุตรมนุษย์มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไป นั้นให้รอด (ลูกา 19:1-10)
ในหนังสือพระกิตติคุณเหมือนแต่ละเล่ม 6 เรารู้เพียงว่าพระเยซูทรงเรียกให้มัทธิวตามพระองค์ไป และเขาก็ตามพระองค์ไปในทันที คุณนึกภาพการตัดสินใจแบบนี้ออกหรือไม่? มันดูเสี่ยงที่จะออกจากงานแบบกะทันหันหรือเปล่า ผมคงไม่อยากเป็นมัทธิว กลับไปบ้าน เจอภรรยา : “ที่รักจ๊ะ มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ผมเพิ่งลาออกจากงานเพื่อติดตามพระเยซูไป แล้วเดี๋ยวเย็นนี้จะมีคนกลุ่มใหญ่มาทานข้าวที่บ้าน” งานที่มัทธิวทำรายได้ดี และมีโอกาส “ก้าวหน้า” สูง โดยการเป็นคนเก็บภาษี ตอนนี้มัทธิวเข้าสู่โหมดตกงาน และวางอนาคตตนเองไว้กับลูกช่างไม้ยากจน
ผมคิดว่าที่มัทธิวเล่าเรื่องนี้มีเหตุผลหลายประการ ข้อแรก – ให้ข้อมูลเบื้องหลังการทรงเรียกสาวกคนหนึ่งของพระเยซู 7 ข้อสอง – เป็นการย้ำให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเยซูอีกครั้ง พระเยซูทรงขับผีหลายตัวออกไปด้วยคำตรัส (มัทธิว 8:16) และตอนนี้ทรงเรียกสาวก ที่ทิ้งการงานแค่ได้ยินคำตรัสของพระองค์ ข้อสาม การทรงเรียกของมัทธิวกลายเป็นเหตุให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในท่ามกลางคนบาป แต่เป็นเรื่องหนักใจสำหรับพวกฟาริสี (ข้อ 10-12) 8นี่เป็นโอกาสให้พระเยซูทรงชี้ให้เห็นถึงพระประสงค์เบื้องต้นที่เสด็จลงมา (ข้อ 13)
การเปลี่ยนอาชีพของมัทธิวไม่ได้ตัดสินใจแบบกัดฟันทำ หรือรีรอไม่แน่ใจ แต่เป็นโอกาสแห่งความปิติยินดี ลูกาชี้ให้เห็นชัดเจนว่างานเลี้ยงฉลองนั้นไม่ใช่มีเพื่อมัทธิวคนเดียว แต่มัทธิวเป็นเจ้าภาพจัดงาน:
27หลังจาก เหตุการณ์เหล่านั้นแล้ว พระองค์เสด็จออกไป และทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” 28เขาก็ลุกขึ้น สละทิ้งทุกสิ่งและตามพระองค์ไป 29แล้วเลวีก็จัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อพระองค์ในบ้านของตน มีคนเก็บภาษีกลุ่มใหญ่และคนอื่นๆ มาร่วมในงานนั้นด้วย (ลูกา 5:27-29)
การติดตามพระเยซูเป็นเหตุแห่งความปิติยินดี และต้องเฉลิมฉลอง มัทธิวจึงเชิญเพื่อนๆมาร่วมฉลอง – เพื่อนในสายงานเก็บภาษี และคนบาป สิ่งนี้รบกวนจิตใจคนบางพวกมาก:
เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของพวกท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับพวก คนเก็บภาษี และพวกคนบาป?” (มัทธิว 9:11)
มีข้อสังเกตหลายประการดังนี้ ประการแรก – มีแต่พวกฟาริสีที่ไม่เห็นด้วย ในกรณีอภัยบาปให้ชายที่เป็นง่อย ตอนนั้นพวกธรรมาจารย์ไม่เห็นด้วย (อย่างน้อยก็ในความคิด) ตอนนี้ ในกรณีที่เรียกมัทธิว ฟาริสีเป็นพวกที่ไม่เห็นด้วย ตอนนี้ถึงกับออกปากบ่นให้สาวกพระเยซูฟัง แต่ไม่ได้พูดกับพระเยซู (ข้อ 11) ธรรมาจารย์ในยุคนั้นก็คือนักศาสนศาสตร์ คงเดาได้ว่าพวกเขากังวลเกี่ยวกับหลักศาสนศาสตร์ในสิ่งที่พระเยซูตรัสกับชาย ง่อย พวกฟาริสีในยุคนั้นคือพวกทำตัวบริสุทธิ์ แยกตัวออกมา คงไม่ต้องสงสัยว่ามันรบกวนใจพวกเขามาก พระเยซูทรงไปสมาคมกับพวก “คนบาป” มากกว่ากับพวกเขา (“เหล่าคนชอบธรรม”)
ประการที่สอง – งานฉลองนี้ดูเหมือนพระเยซูทรงเป็นแขกเกียรติยศ คนเก็บภาษีและคนบาปมาร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซูและพวกสาวกของพระองค์ คนบาปรวมกลุ่มกันจัดงานเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่พระเยซูไปร่วมงานในฐานะแขกเกียรติยศนับเป็นอีกเรื่อง คนเหล่านี้กำลังเฉลิมฉลองที่พระองค์ประทับอยู่ด้วย ผมเชื่อว่า นี่คือการลิ้มรสชาตของสวรรค์ที่ปลายลิ้น เมื่อบรรดาธรรมิกชนทั้งหลายจะมานั่งร่วมสำรับกับพระผู้ช่วยให้รอด
ประการที่สาม – เราควรสังเกตพวกฟาริสี เช่นเดียวกับพวกธรรมาจารย์ก่อนหน้า ถูกต้อง – อย่างน้อยก็ทางด้านเทคนิค ธรรมาจารย์ถูกต้องที่ให้เหตุผลว่าไม่มีใครสามารถยกโทษบาปได้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้น พวกฟาริสีนั้นถูกในแง่ที่สรุปว่าคนที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซูคือคนบาป มัทธิวเองที่เรียกพวกเขาว่า “คนเก็บภาษีและคนบาป” (ข้อ 10) พระเยซูเองไม่ได้คิดจะแก้ไขสิ่งที่พวกเขาประเมินด้วย:
12เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้วก็ ตรัสว่า “คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ 13ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป” (มัทธิว 9:12-13)
จึงเป็นโอกาสอีกครั้ง ให้พระเยซูได้อธิบายถึงพระประสงค์ที่เสด็จมาบนโลก แม้พวกฟาริสีไม่ได้มาเผชิญหน้ากับพระเยซู แต่พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาต่อต้าน จึงไปเผชิญหน้ากับพวกเขา พวกเขาพลาดประเด็นสำคัญ ในมัทธิว 8:17 พันธกิจการรักษาโรคถูกแปลไปตามพระวจนะในอิสยาห์ 53:4 รักษาโรคและที่สำคัญกว่าให้อภัยบาป เป็นพระประสงค์ของพระเยซูที่สละพระชนม์เพื่อชดใช้บาปที่บนกางเขน เมื่อทรงอภัยบาปให้กับชายง่อยในบทที่ 9 เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างพันธกิจแห่งการรักษา โรค และพันธกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า – ให้อภัยคนบาป สิ่งแรกที่ฝ่ายตรงข้ามพระองค์ต่อต้านคือการยกโทษบาป และการไปสามัคคีธรรมกับพวกคนบาป
ถ้าพระเยซูมาทำให้คำพยากรณ์ในอิสยาห์ 53 สำเร็จลง พระองค์จะไม่อภัยให้คนบาปได้อย่างไร? แล้วทำไมพวกฟาริสีถึงไม่พอใจที่พระเยซูไปคบหากับพวกคนบาป? เป็นเพราะพวกเขามองว่าตนเองเป็นคนชอบธรรม พระวจนะจากพระกิตติคุณลูกาน่าจะเกี่ยวข้องและเหมาะกับเรื่องนี้ที่สุด :
9สำหรับบางคนที่เชื่อมั่นในตัว เองว่าเป็นคนชอบธรรมและดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสอุปมานี้ว่า 10“มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นฟาริสีและคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี 11คน ที่เป็นฟาริสีนั้นยืนอยู่คนเดียวอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น ที่เป็นคนฉ้อโกง เป็นคนอธรรม และเป็นคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12ข้าพระองค์ถืออดอาหารสองวันต่อสัปดาห์ และสิ่งสารพัดที่ข้าพระองค์หาได้ ข้าพระองค์ก็เอาทศางค์มาถวายเสมอ’ 13ส่วน คนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่ยอมแม้แต่แหงนหน้าดูฟ้า แต่ตีอกชกตัวกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’ 14เรา บอกพวกท่านว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปถึงบ้านของตนก็ถูกนับว่าเป็นคน ชอบธรรม ไม่ใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกขึ้น (ลูกา 18:9-14)
พวกฟาริสีมองว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม และมองว่าความชอบธรรมของตนเองนั้นเป็นผลมาจากการรักษาธรรมบัญญัติ และรักษาตนให้สะอาดไม่มีมลทินจากการไปคบกับพวกคนบาป พระเยซูทรงละเมิดกฎทุกข้อ เท่าที่พวกเขาเห็น แต่ไม่ใช่พระเยซูที่เป็นฝ่ายผิด พวกฟาริสีต่างหากที่ผิด พวกเขาต้องกลับไปใคร่ครวญพระคัมภีร์เดิม เพราะพระเยซูทรงเป็นผู้มาทำให้คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จลงในฐานะพระ เมสซิยาห์ นี่เป็นสาระสำคัญของพระกิตติคุณมัทธิว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฟาริสีต้องกลับไปทบทวนสิ่งที่โฮเชยาหมายถึงเมื่อท่านเขียนว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา” (มัท ธิว 9:13) พระเยซูทรงอ้างจากโฮเชยา 6:6 มีเรื่องให้เรียนได้มากมายจากพระวจนะตอนนี้ในโฮเชยา และบริบทโดยรอบ มากกว่าที่จะเรียนกันในบทนี้ แต่ขอชี้หลายสิ่งให้เห็น ข้อแรก – คำกล่าวโทษสำหรับทั้งอิสราเอล (เอฟราอิม) และยูดาห์ สำหรับความบาปของพวกเขา และเตือนถึงการพิพากษาที่กำลังมาถึง:
8จงเป่าเขาสัตว์ในกิเบอาห์
จงเป่าแตรในรามาห์
จงร้องตะโกนที่เบธาเวน
โอ เบนยามินเอ๋ย จงมองไปข้างหลังเจ้า
9ในวันที่ลงโทษนั้น
เอฟราอิมจะร้างเปล่า
เราประกาศสิ่งที่เป็นจริงท่ามกลางเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล
10เจ้านายของยูดาห์ได้กลายเป็นเหมือนคนที่ย้ายหลักเขต
เราจะเทความกริ้วของเราเหนือเขาเหมือนอย่างเทน้ำ (โฮเชยา 5:8-10)
ข้อสอง – คำกล่าวโทษนี้เจาะจงรวมเอาผู้นำของทั้งอิสราเอลและยูดาห์:
1โอ ปุโรหิตทั้งหลาย จงฟังข้อนี้
โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงสดับ
โอ ราชวงศ์กษัตริย์ จงเงี่ยหูฟัง
เพราะเจ้าทั้งหลายจะถูกพิพากษา
เพราะเจ้าเป็นกับดักที่เมืองมิสปาห์
และเป็นข่ายกางอยู่เหนือเมืองทาโบร์ (โฮเชยา 5:1)
10เจ้านายของยูดาห์ได้กลายเป็นเหมือนคนที่ย้ายหลักเขต
เราจะเทความกริ้วของเราเหนือเขาเหมือนอย่างเทน้ำ
11เอฟราอิมถูกบีบบังคับ และถูกขยี้ด้วยการทำโทษ
เพราะเขาตั้งใจติดตามอาจม (โฮเชยา 5:10-11)
9เหล่าโจรซุ่มคอยดักคนฉันใด
พวกปุโรหิตก็ซุ่มคอยฉันนั้น
เขาฆ่าคนระหว่างทางไปเชเคม
แท้จริง เขาก่ออาชญากรรม (โฮเชยา 6:9)
ข้อสาม – เป็นการเรียกให้สำนึกผิดกลับใจ และพระสัญญาแห่งการคืนสู่สภาพดี :
15เราจะกลับมายังสถานที่ของเรา อีก จนกว่าเขาจะยอมรับความผิดของเขาและแสวงหาหน้าของเรา เมื่อเขารับความทุกข์ร้อน เขาจะแสวงหาเรา
1“มาเถิด ให้เรากลับไปหาพระยาห์เวห์
เพราะว่าพระองค์ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย
พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้แก่เรา
2อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น9
พอถึงวันที่สามจะทรงยกเราขึ้น10
เพื่อเราจะดำรงอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
3ให้เรารู้จัก ให้เราพยายามรู้จักพระยาห์เวห์
การปรากฏของพระองค์ก็แน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ
พระองค์จะเสด็จมาหาเราอย่างห่าฝน
ดังฝนชุกปลายฤดูที่รดพื้นแผ่นดิน” (โฮเชยา 5:15; 6:1-3)
ข้อสี่ – อิสราเอลและยูดาห์ถูกกล่าวโทษที่ไม่รักษาพันธสัญญาแห่งความซื่อสัตย์ และไปวางใจในเครื่องเผาบูชาแทน:
4เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำอะไรกับเจ้าดี?
ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำอะไรกับเจ้าหนอ?
ความรักของเจ้าก็เหมือนเมฆในยามเช้า
เหมือนอย่างน้ำค้างที่หายไปแต่เช้าตรู่
5ฉะนี้ เราจึงให้ผู้เผยพระวจนะพูดสับเจ้า
เราประหารเจ้าด้วยคำพูดจากปากของเรา
การพิพากษาของเราก็ออกไปอย่างแสงสว่าง
6เพราะเราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา
เราประสงค์ให้รู้จักพระเจ้า ยิ่งกว่าประสงค์เครื่องบูชาเผาทั้งตัว (โฮเชยา 6:4-6)
พวกธรรมาจารย์คัดค้านเพราะพระเยซูให้อภัยคนบาปหรือ? พวกฟาริสีคัดค้านเพราะพระองค์ทรงคบค้าสมาคมกับคนบาปหรือ? พระเยซูทรงนำพระวจนะในโฮเชยามาแสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเขาจึงเป็นคนบาป เป็นผู้นำศาสนาแต่กลับข่มเหงผู้ที่พวกตนเองนำ “ความชอบธรรม” ของพวกเขาเป็นเพียงพิธีกรรมมากกว่ารู้จักพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และผูกพันตนอย่างซื่อสัตย์ในพันธสัญญา ผู้นำอิสราเอลและยูดาห์หลงประเด็น ไม่อาจเข้าใจศาสนาอย่างถ่องแท้ จึงนำผู้คนให้หลงทาง พวกเขาต้องสารภาพบาป และวางใจในพระเมสซิยาห์ผู้เสด็จมาช่วยพวกเขาให้รอด ดังนั้นควรจะดีใจที่พระเยซูมาช่วยคนบาปให้รอด ควรเป็นเหมือนเซาโล ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฟาริสี และเป็นฮีบรูที่เกิดจากฮีบรู ละทิ้งสิ่งที่เคยประกาศว่าตนเองชอบธรรมแล้ว มาผูกพันตนกับพระเยซูคริสต์:
15 คำกล่าวนี้สัตย์จริงและสมควรแก่การรับไว้อย่างยิ่ง คือว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้ 16 แต่เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้รับพระเมตตา เพื่อว่าพระเยซูคริสต์จะได้ทรงสำแดงความอดทนอย่างยิ่งต่อข้า พเจ้าซึ่งเป็นตัวเอ้นั้น เพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งหลายที่จะเชื่อในพระองค์แล้วได้ รับชีวิตนิรันดร์ (1ทิโมธี 1:15-16)
1สุดท้ายนี้ พี่น้องของข้าพเจ้า จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า การเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายซ้ำอีกไม่ใช่เรื่อง ลำบากสำหรับข้าพเจ้า และยังเป็นเรื่องปลอดภัยสำหรับท่าน 2จงระวังพวกสุนัข จงระวังพวกที่ทำชั่ว จงระวังพวกเชือดเนื้อเถือหนัง 3เพราะว่า เราต่างหากที่เป็นพวกเข้าสุหนัต เป็นพวกที่นมัสการโดยพระวิญญาณของพระเจ้า อวดพระเยซูคริสต์ และไม่ไว้ใจในเนื้อหนัง 4แม้ว่า ข้าพเจ้าเองก็มีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนังด้วย ถ้าคนอื่นคิดว่าเขามีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ข้าพเจ้าก็มีมากยิ่งกว่านั้นอีก 5ข้าพเจ้าเข้าสุหนัตในวันที่แปดที่คลอดมา เป็นชนชาติอิสราเอล อยู่ในเผ่าเบนยามิน เป็นชาวฮีบรูที่เกิดจากคนฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสี 6ในด้านความกระตือรือร้นก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมตามธรรมบัญญัติก็ไม่มีที่ติ 7แต่ว่าอะไรที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ถือว่าสิ่งนั้นเป็นการขาดทุนแล้วเพราะเหตุ พระคริสต์ 8ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุน เพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ข้าพเจ้ายอมขาดทุนทุกอย่าง และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะเพื่อว่าข้าพเจ้าจะ ได้พระคริสต์เป็นกำไร 9และ จะได้เห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาจากธรรมบัญญัติ มีแต่ที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ คือความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าโดยความเชื่อ (ฟีลิปปี 3:1-9)
พระเจ้าทรงปิติในผู้ที่แสวงหาความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ใช่พวกที่แยกออกไปและวางใจในพิธีกรรมและรักษาธรรมบัญญัติ พระเยซูทรงปิติเมื่อได้อยู่ท่ามกลางคนบาป และพวกเขาก็มีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้พระองค์ พระองค์ไม่ทรงปิติในคนที่แยกตัวออกไป ห่างไกลจากคนบาปและจากพระผู้ช่วยให้รอด ถ้าฟาริสีพวกนี้จะยินดีในความรอด พวกเขาต้องมีใจปรารถนาสามัคคีธรรมกับพระผู้ช่วยให้รอด พร้อมกับคนบาปอื่นๆเช่นเดียวกับพวกเขา
พระเยซูและพวกสาวกของยอห์นผู้ให้บัพติศมา – ควรอดอาหารหรือไปงานเลี้ยงดี? (มัทธิว 9:14-17)
14 แล้วบรรดาสาวกของยอห์นมาหาพระเยซูทูลว่า “ทำไมเราและพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่พวกสาวกของท่านไม่ถือ?” 15 พระเยซู จึงตรัสกับเขาว่า “บรรดาแขกรับเชิญจะโศกเศร้า เมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขาหรือ? แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกพรากไปจากเขา และเมื่อนั้นพวกเขาจะถืออดอาหาร 16ไม่มีใครเอาชิ้นผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 17และ เขาทั้งหลายไม่เอาเหล้าองุ่นหมักใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งคู่ก็จะอยู่ในสภาพดี” (มัทธิว 9:14-17)
ในอีกด้าน คำถามจากสาวกของยอห์นจากสองตอนก่อนหน้า พระเยซูทรงให้อภัยคนบาป และร่วมเลี้ยงฉลองกับพวกเขา สาวกของยอห์นในอีกมุม เทศนาว่ามนุษย์ต้องสำนึกผิดและกลับใจจากบาป พวกเขาอดอาหารด้วย บางทีการอดอาหารอาจเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการสำนึกผิด ช่วงนั้นยอห์นถูกจับเข้าคุก (มัทธิว 4:12 คิดว่ายังไม่ถูกประหาร ดู 11:2-6) แต่สาวกของยอห์นอดอาหารและอธิษฐานด้วยสาเหตุอื่น
งานเลี้ยงที่พระเยซูและสาวกของพระองค์ฉลองกับมัทธิวและกลุ่มเพื่อน “คนบาป” (มัทธิว 9:10) ทำให้พวกฟาริสีต่อต้าน อาจเป็นงานเลี้ยงเดียวกันนี้ที่สร้างความประหลาดใจให้กับสาวกของยอห์นผู้ให้ บัพติศมา แต่คำถามที่พวกเขาถามนั้นต่างไป คนละแบบกับการต่อต้านของธรรมาจารย์ (มัทธิว 9:3) และฟาริสี (มัทธิว 9:11) คำถามนี้ไม่ได้เพื่อต่อต้าน แต่ต้องการรู้จริงๆว่าทำไมพระเยซูและพวกสาวกไม่ทำตามบทบัญญัติเรื่องการอด อาหารเหมือนพวกฟาริสี แทนที่จะอดอาหารพระเยซูและสาวกกลับไปงานเลี้ยง ถ้าพระเยซูเป็นผู้ที่ยอห์นมาเตรียมทางให้ จะอธิบายอย่างไรในความต่างระหว่างสิ่งที่พระองค์ทำ การอดอาหารของพวกฟาริสี และสาวกของยอห์น?
ผมคิดว่าพระเยซูไม่ได้ตอบแบบตำหนิ เพราะเป็นคำถามที่ยุติธรรมดี แต่คำตอบต่อคำถามของพวกเขาจะกระจ่างชัดเมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และคืนพระชนม์ ในตอนนี้พระเยซูทรงตอบโดยการเปรียบเทียบ เปรียบเทียบบนพื้นฐานคำสอนของยอห์น เป็นคำตอบที่พวกเขาไม่อาจ ไม่สามารถ เข้าใจได้ชัดแจ้งในตอนนั้น แต่เพราะยอห์นเคยกล่าวไว้ก่อนหน้า จึงทำให้พวกเขาพอเข้าใจได้:
25 แต่เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างพวกศิษย์ของยอห์นและคนหนึ่ง ในพวกยิวเรื่องการชำระมลทิน 26พวกเขา จึงไปหายอห์นบอกว่า “อาจารย์ คนที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คนที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น นี่แน่ะ คนนี้กำลังให้บัพติศมาและทุกคนก็พากันไปหาเขา” 27ยอห์นตอบว่า “ไม่มีใครสามารถรับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้เขา 28พวกท่านเองก็เป็นพยานว่า ข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระคริสต์ แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์ 29 ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อ ได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว เพราะฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยม 30พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง” (ยอห์น 3:25-30)
ด้วยคำที่ยอห์นพูดกับพวกสาวก ท่านเปรียบตนเองเป็น “เพื่อนเจ้าบ่าว” และพระเยซูทรงเป็น “เจ้าบ่าว” ความต่างระหว่างเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าว คำตอบของพระเยซูจึงทำให้พวกเขาพอเข้าใจ:
15 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “บรรดาแขกรับเชิญจะโศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขา หรือ? แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกพรากไปจากเขา และเมื่อนั้นพวกเขาจะถืออดอาหาร” (มัทธิว 9:15)
สาวกของพระเยซูไม่อาจโศกเศร้าได้ – ที่จริงไม่ควรโศกเศร้าด้วย – ในขณะที่พระองค์ยังอยู่กับพวกเขา แต่เมื่อพระองค์จากไปแล้ว (ตามที่ทรงบ่งไว้) นั่นแหละเป็นเวลาที่สาวกของพระองค์ต้องอดอาหาร แต่พระเยซูเสด็จมาในฐานะพระเมสซิยาห์ (ตามที่ยอห์นเป็นพยาน – ยอห์น 1:29) พระองค์เสด็จมาเพื่อยกโทษให้คนบาปตามที่พระคัมภีร์เดิมพยากรณ์ (อิสยาห์ 52:13-53:12) และพระองค์ได้ทรงเริ่มยกโทษให้คนบาปเหมือนกับที่ให้อภัยชายง่อย (มัทธิว 9:1-8) พระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วยคนบาปและมีสามัคคีธรรมกับพวกเขา (มัทธิว 9:9-10) นี่เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและชื่นชมยินดี แล้วจะให้พระองค์และพวกสาวกโศกเศร้าได้อย่างไร อย่างเช่นโดยการอดอาหาร? เฉลิมฉลองด้วยใจยินดีเป็นท่าทีที่สมควรต่อการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ และนี่คือเหตุที่ทำให้ยอห์นปิติยินดีอย่างเต็มเปี่ยม (ยอห์น 3:29) สาวกของยอห์นควรต้องทำเช่นกัน
พระวจนะสองข้อสุดท้ายของตอนนี้ไปไกลเกินกว่าอธิบายเหตุผล พระเยซูไม่ได้ปรับไปตามความคาดหวังของมนุษย์ และอธิบายถึงความสัมพันธ์ในการเสด็จมาของพระองค์กับพระคัมภีร์เดิม และพันธสัญญาเดิม:
16 ไม่มีใครเอาชิ้นผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 17และ เขาทั้งหลายไม่เอาเหล้าองุ่นหมักใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งคู่ก็จะอยู่ในสภาพดี” (มัทธิว 9:16-17)
เพื่อช่วยให้เข้าใจ เรามาพิจารณาสิ่งที่ลูกาเพิ่มเติมไว้เกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูในบริบทนี้:
“ไม่มีใครเมื่อดื่มเหล้าองุ่นหมัก เก่าแล้ว จะอยากได้เหล้าองุ่นหมักใหม่ เพราะเขาย่อมจะกล่าวว่า ‘ของเก่านั้นดีกว่า’ ” (ลูกา 5:39)
ความสำคัญของประโยคที่เพิ่มเข้ามาในลูกาบอกเราว่าคนในสมัยพระเยซูคิดว่า ของเก่านั้นดีกว่าของใหม่ เหตุผลที่พวกเขาคาดหวังให้พระเยซู “มาปะ” เสื้อเก่า เพราะมองว่าเสื้อเก่านั้นดีกว่าเสื้อใหม่ (ต้องสารภาพว่าผมก็มีเสื้อเก่าแบบนั้นที่ชอบมากไม่อยากทิ้ง ได้แต่ขอให้ภรรยาปะชุนจะได้เก็บเอาไว้ใช้)
พระเยซูทรงมีประเด็นสำคัญที่ตรงนี้ และเราต้องเข้าใจเพื่อจะรู้ซึ้งในข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณของพระเยซู คริสต์ พระเยซูไม่ได้มาล้มล้างธรรมบัญญัติและคำของพวกผู้เผยพระวจนะ แต่มาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ (มัทธิว 5:17) และมัทธิวเองชี้ให้เห็นว่าครบถ้วนลงอย่างไร แต่การมาทำให้ธรรมบัญญัติครบสมบูรณ์ ไม่เหมือนกับมาทำพันธสัญญาเดิมให้เป็นอมตะ พระเยซูทรงทำให้ธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อจะได้เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่:
19 พระองค์ ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงหักส่งให้พวกเขา ตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา” 20 เมื่อรับประทานแล้ว จึงทรงหยิบถ้วยและทรงทำเหมือนกันตรัสว่า “ถ้วยนี้ที่เทออกเพื่อท่านทั้งหลาย เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา” (ลูกา 22:19-20)
อย่างที่เปาโลและท่านอื่นๆกล่าว พันธสัญญาเดิมไม่อาจช่วยใครให้รอดได้ มีแต่จะสาปแช่งเราที่เป็นคนบาป:
10 เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้าโดยวางแอกบนคอของพวกสาวก ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษหรือเราเองแบกไม่ไหว 11แต่ตรงข้าม เราเชื่อว่าเราเองจะรอดโดยพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับพวกเขา” (กิจการ 15:10-11)
เปโตรพูดถ้อยคำนี้ในการประชุมที่กรุงเยรูซาเล็ม เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันเรื่องชาวยิวบางคนต้องการให้ชาวต่างชาติเข้าสุหนัต (ซึ่งก็ทำให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม) เพื่อจะรอดได้ (ดูกิจการ 15:1) เปโตรยอมรับว่าไม่มีใครแบกภาระนี้ไหว ซึ่งเปาโลเห็นด้วยอย่างเต็มที่:
19 เรารู้แล้วว่าธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็กล่าวแก่พวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และให้โลกทั้งหมดอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมได้ โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาป 21แต่ เดี๋ยวนี้ความชอบธรรมของพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือ ธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากหมวดธรรมบัญญัติและ พวกผู้เผยพระวจนะ 22คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ โดยไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน 23เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า 24แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิด มูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว (โรม 3:19-24)
เพื่อให้เป็นไปตามที่ธรรมบัญญัติกำหนด พระเยซูต้องสิ้นพระชนม์ ภายใต้ธรรมบัญญัติ แทนคนบาป เพื่อให้ได้มาซึ่งการอภัยบาป และความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ ในแง่นี้ พันธสัญญาเดิมถูกนำออกไป แทนที่ด้วยพันธสัญญาใหม่
6 แต่บัดนี้พระเยซู ทรงได้รับพันธกิจที่สูงส่งกว่าของพวกเขา เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาอันประเส ริฐกว่า ซึ่งตั้งอยู่บนพระสัญญาที่ประเสริฐกว่า 7เพราะว่าถ้าพันธสัญญาเดิมนั้นไม่มีข้อบกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก 8เพราะพระเจ้าทรงติเตียนพวกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่านี่แน่ะวันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับชนชาติอิสราเอล และกับชนชาติยูดาห์ 9 ที่ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราเคยทำกับบรรพบุรุษของ เขาทั้งหลาย ในวันที่เราจูงมือพวกเขาเพื่อพาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพราะพวกเขาไม่ได้ดำรงอยู่ในพันธสัญญาของเรา เราจึงละทิ้งพวกเขาไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แหละ 10 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับชนชาติอิสราเอล ภายหลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะบรรจุธรรมบัญญัติของเราไว้ในจิตใจของพวกเขา และเราจะจารึกมันไว้ในดวงใจของพวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 11 และพวกเขาจะไม่สอนเพื่อนบ้าน และพี่น้องของตนแต่ละคนว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด 12 เพราะเราจะเมตตาต่อการอธรรมของพวกเขา และจะไม่จดจำบรรดาบาปของพวกเขาไว้เลย” 13เมื่อพระองค์ตรัสถึงพันธสัญญาใหม่ พระองค์ก็ทรงถือว่าพันธสัญญาเดิมนั้นล้าสมัยแล้ว สิ่งที่กำลังล้าสมัยและเก่าไปนั้นก็ใกล้จะเสื่อมสูญ (ฮีบรู 8:6-13)
นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมพระเยซูไม่ได้ปรับไปตามความคาดหวังในตัวพระเม สซิยาห์ของคนในยุคนั้น (แม้แต่พวกสาวกเอง) เมื่อพระองค์เสด็จมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติ และคำของผู้เผยพระวจนะครบถ้วนสมบูรณ์ พระองค์ยังเสด็จมาเพื่อเริ่มต้นพันธสัญญาที่ใหม่และดีกว่า พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อ “ปะ” ของใหม่เข้าไปกับของเก่า แต่นำสิ่งใหม่ทั้งหมดมา พระองค์ทรงนำ “น้ำองุ่นหมักใหม่” มา และน้ำองุ่นหมักใหม่นี้จะนำไปใส่ใน “ถุงหนังเก่า” ของลัทธิยูดายในพระคัมภีร์เดิมไม่ได้ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม และเป็นมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของแท้ แต่พระเยซูนำสิ่งที่ดีกว่ามา โดยทำให้คำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม และความหวังสำเร็จเป็นจริง:
25 ถ้าไม่ใช่แล้วพวกท่านไปดูอะไร? ไปดูคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีหรือ? นี่แน่ะ คนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงามและอยู่อย่างฟุ่มเฟือยย่อม อยู่ในพระราชวัง 26แล้วพวกท่านออกไปดูอะไร? ดูผู้เผยพระวจนะหรือ? แน่ทีเดียว เราบอกว่ายอห์นเป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะ 27คือท่านผู้นี้ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เราจะใช้ทูตของเรานำหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคา ไว้ข้างหน้าท่าน’ 28 เราบอกพวกท่านว่า ในบรรดาคนที่เกิดจากผู้หญิงนั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์น แต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยังใหญ่กว่า ยอห์น” (ลูกา 7:25-28)
พระเยซูเสด็จมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ครบถ้วน เพื่อจะทำตามความชอบธรรมของพระคัมภีร์เดิมครบถ้วน พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์แทนคนบาป และจัดเตรียมความรอดนิรันดร์ให้ แต่พระองค์ยังเสด็จมาเพื่อจัดตั้งพันธสัญญาใหม่โดยทางพระโลหิตของพระองค์ ด้วย นี่เป็นพันธสัญญาที่ไม่มีเงื่อนไขว่าความรอดจะได้มาต้องพากเพียรปฏิบัติ แต่บนพระชนม์ชีพที่สละแทนพวกเราแล้ว และเป็นไปตามความครบถ้วนสมบูรณ์ของพันธสัญญาเดิม และที่จัดตั้งขึ้นใหม่ พระเยซูทรงอภัยให้คนบาปได้ และชื่นชมยินดี (ในงานเลี้ยง) กับพวกเขาได้ จึงต้องขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่ปรับไปตามความคาดหวังของมนุษย์
บทสรุป
เมื่อเรามาถึงบทสรุปของพระวจนะที่เรียนกันในตอนนี้ เราควรจำไว้ว่ามัทธิวได้เริ่มนำเสนอให้เราเห็นแนวคิดการต่อต้านที่ชาวยิวมี ต่อพระเยซู รวมถึงคนเลี้ยงสุกรที่ขอร้องให้พระเยซูไปจากเขตแดนพวกเขาในพระวจนะก่อนหน้า (มัทธิว 8:34) แต่พวกนี้อาจไม่ใช่คนยิว ที่แน่ๆไม่ใช่ผู้นำศาสนายิว ในพระวจนะของเราตอนนี้ พวกยิวเริ่มต่อต้านพระเยซู เริ่มจากธรรมาจารย์ที่ต่อต้านคำประกาศเป็นนัยว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และพวกฟาริสีที่ต่อต้านการเฉลิมฉลองและมีสามัคคีธรรมกับพวก “คนบาป” เราควรต้องจำไว้ว่าการต่อต้านเริ่มต้นเมื่อพระเยซูทรงประกาศว่าพระองค์เป็น พระเจ้า ให้คนที่ชอบพูดว่าพระเยซูไม่เคยอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอ่านดูให้เข้าใจใน ประเด็นที่พระองค์ตรัส ตั้งแต่เริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ที่บนโลก ที่ทรงประกาศว่าพระองค์เป็นพระเจ้า
นอกจากนั้น ธรรมาจารย์และฟาริสีต่อต้านพระเยซูเพราะพระองค์ประกาศว่าทรงมีสิทธิอำนาจใน การอภัยให้คนบาป เป็นสิ่งที่ไม่ว่าปุโรหิต ธรรมาจารย์ ฟาริสี หรือผู้นำศาสนายิวทำมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีในพระคัมภีร์เดิม การถวายบูชาเป็นเพียงการชดใช้ความผิดชั่วคราวในขณะนั้น จนกว่าพระเมสซิยาห์เสด็จมา:
4 แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิด มูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว 25พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น 26และ เพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย (โรม 3:24-26)
นี่คือสิ่งที่พระเยซูตรัสถึงเมื่อทรงนำสิ่งใหม่เข้ามา ไม่ใช่เพื่อปะเข้ากับของเก่า พระเยซูทรงมาจัดตั้งพันธสัญญาใหม่ ในขณะเดียวกันเติมเต็มตามที่ของเก่ากำหนด ผู้เขียนหนังสือฮีบรูย้ำอย่างหนักแน่นในเรื่องนี้:
8โดย สิ่งนี้เอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงทรงสำแดงว่า ทางที่นำเข้าสู่สถานศักดิ์สิทธิ์นั้นยังไม่เปิด ตราบใดที่ห้องชั้นนอกนั้นตั้งอยู่ 9ซึ่ง เป็นเครื่องหมายของยุคปัจจุบัน การนำของถวายและเครื่องบูชามาถวายตามแบบนี้ไม่สามารถชำระ มโนธรรมของผู้ถวายนั้น 10เพราะ เป็นเรื่องอาหารและเครื่องดื่มและพิธีชำระล้างต่างๆ เท่านั้น เป็นเพียงกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางกายเกี่ยวกับชีวิตภายนอกที่ได้บัญญัติไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ 11แต่เมื่อพระคริสต์เสด็จมาในฐานะมหาปุโรหิตแห่งบรรดาสิ่ง ประเสริฐซึ่งมาถึงแล้ว พระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่พลับพลาที่ใหญ่และสมบูรณ์ยิ่งกว่า แต่ก่อน (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ คือไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างของโลกนี้) 12คือ เสด็จเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ครั้งเดียวเป็นพอ และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป จึงได้มาซึ่งการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ 13เพราะว่าถ้าเลือดแพะและเลือดวัวตัวผู้และเถ้าของลูกวัว ตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนที่มีมลทิน สามารถชำระเนื้อตัวให้บริสุทธิ์ได้ 14มาก ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระโลหิตของพระคริสต์ ผู้ทรงถวายพระองค์เองที่ปราศจากตำหนิแด่พระเจ้าโดยพระวิ ญญาณนิรันดร์ ก็จะทรงชำระมโนธรรมของเราจากการประพฤติที่เปล่าประโยชน์ เพื่อเราจะปรนนิบัติพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ 15เพราะเหตุนี้ พระคริสต์ จึงทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกมาได้รับมรดกนิรันดร์ ตามพระสัญญา เพราะความตายที่เกิดขึ้นนั้นไถ่พวกเขาให้พ้นจากบรรดาการ ล่วงละเมิดที่เกิดภายใต้พันธสัญญาเดิมแล้ว (ฮีบรู 9:8-15)
1 เพราะเหตุที่ธรรมบัญญัติเป็นเพียงเงาของสิ่งประเสริฐทั้งหลาย ที่ จะมาในภายหลัง ไม่ใช่ตัวจริง จึงไม่สามารถทำให้ผู้ที่เข้าเฝ้าพระเจ้าพร้อมกับเครื่องบูชา ที่พวกเขาถวายเหมือนเดิมทุกปีเสมอมานั้น ถึงความสมบูรณ์ได้ 2เพราะ ถ้าทำได้ พวกเขาคงหยุดการถวายเครื่องบูชาแล้วไม่ใช่หรือ? เพราะถ้าผู้นมัสการได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สักครั้งหนึ่ง แล้ว คงจะไม่รู้สึกว่ามีบาปอีกต่อไป 3แต่การถวายเครื่องบูชานั้นเป็นการเตือนให้คิดถึงบาปทุกปี 4เพราะเลือดวัวผู้และเลือดแพะไม่มีทางชำระบาปให้หมดสิ้นไป ได้เลย 5 เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกแล้ว พระองค์ตรัสว่า “พระองค์เจ้าข้า เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ พระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมกายสำหรับข้าพระองค์ 6 เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาลบบาปนั้น พระองค์ไม่พอพระทัย 7 แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อจะทำตามพระทัยของพระองค์’ ตามที่มีเรื่องข้าพระองค์เขียนไว้ในหนังสือม้วน” 8 เมื่อพระองค์ตรัสในตอนแรกว่า “เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ และเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาลบบาป (ที่ได้ถวายตามธรรมบัญญัตินั้น) พระองค์ไม่ทรงประสงค์และไม่พอพระทัย” 9แล้วพระองค์ท่านก็ตรัสด้วยว่า “ข้าพระองค์มาแล้วเพื่อจะทำตามพระทัยของพระองค์” พระองค์ท่านทรงยกเลิกระบบเดิมนั้นเสียเพื่อจะทรงตั้งระบบ ใหม่ 10และ โดยพระประสงค์นั้นเอง เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ครั้งเดียวเป็นพอ 11ส่วน ปุโรหิตทุกคนก็ยืนปฏิบัติกิจอยู่ทุกวัน โดยการนำเครื่องบูชาอย่างเดียวกันมาถวายเสมอๆ เครื่องบูชาเหล่านั้นไม่มีวันลบล้างบาปได้เลย 12แต่เมื่อพระคริสต์ทรงถวายเครื่องบูชาเพื่อลบบาปเพียงครั้ง เดียวสำหรับตลอดไปแล้ว พระองค์ก็ประทับเบื้องขวาของพระเจ้า 13เพื่อทรงคอยอยู่จนกว่าศัตรูของพระองค์ถูกนำมาเป็นที่รอง พระบาทของพระองค์ 14โดย การถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ แล้วนั้นถึงความสมบูรณ์ตลอดไป 15และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเป็นพยานแก่เราด้วย เพราะหลังจากที่พระองค์ตรัสว่า 16 “องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสว่า นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น เราจะบรรจุธรรมบัญญัติของเราไว้ในใจของพวกเขา และเราจะจารึกมันไว้ในจิตใจของพวกเขา” 17 “และเราจะไม่จดจำ บาปของพวกเขา และการอธรรมของพวกเขาอีกต่อไป” 18เมื่อมีการยกโทษบาปแล้ว ก็ไม่มีการถวายเครื่องบูชาเพื่อลบบาปอีกต่อไป (ฮีบรู 10:1-18)
พระเยซูทรงทำในสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมเล็งถึง ตามที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวเมื่อพยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ พระเยซูทรงทำให้คำพยากรณ์เหล่านี้สำเร็จลง และโดยการสิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ และคืนพระชนม์ของพระองค์แทนเราทั้งหลาย พระองค์ได้ชดใช้บทลงโทษบาปแทนเรา และเตรียมการอภัยบาปให้ ไม่มีถ้อยคำไหนที่ดีไปกว่านี้ “จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” คุณ มีประสบการณ์รับการอภัยนี้หรือยัง? เพียงแค่ยอมรับว่าคุณเป็นคนบาป วางใจในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงนำบาปของคุณไปไว้ที่พระองค์ ข้อเสนอสำหรับการอภัยนี้มีให้สำหรับทุกคนที่ยืนมืออกไปรับ
28 บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก 29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30)
พระวิญญาณและเจ้าสาวกล่าวว่า “เชิญเสด็จมาเถิด” และให้คนที่ได้ยินกล่าวด้วยว่า “เชิญเสด็จมาเถิด” “คนที่กระหายเชิญเข้ามา ใครที่มีใจปรารถนา จงมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” (วิวรณ์ 22:17)
8แต่ความชอบธรรมว่าอย่างไร? ก็ว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน” (คือคำซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อที่เราทั้งหลายประกาศอยู่ นั้น) 9คือ ว่าถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด 10เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด 11เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า “ทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย” 12พวก ยิวและพวกกรีกนั้นไม่ต่างกัน เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวทรงเป็นองค์พระผู้ เป็นเจ้าของทุกคน และประทานอย่างบริบูรณ์แก่ทุกคนที่ทูลขอต่อพระองค์ 13เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด (โรม 10:8-13)
ถ้าผมจะรวบเอาสาระสำคัญของพระวจนะตอนนี้มาเหลือแค่สองคำ คงต้องเป็นสองคำที่เป็นกุญแจสำคัญ – บาป-และ-พระเจ้า ในเรื่องชายง่อย พระเยซูทรงรักษาชายง่อยคนนี้ แต่ในอีกทางทรงสำแดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจในการยกบาป ปัญหาคือพวกธรรมาจารย์ไม่อาจยอมรับว่าพระองค์เป็นพระเจ้าตามที่พระองค์ ประกาศ เรื่องที่สอง การทรงเรียกมัทธิว และงานเฉลิมฉลองกับพวกคนบาป ก่อให้เกิดความตึงเครียด ระหว่างความบาป (หรือคนบาป) กับพระเจ้า พวกฟาริสีไม่อาจยอมรับที่เห็นพระเยซูไปคบหาและมีสามัคคีธรรมกับคนบาป ไม่อาจรับได้ที่เห็นคนดีๆ (นี่คือสิ่งดีที่สุดที่เขาพูดถึงพระเยซูได้) ไปมีสามัคคีธรรมกับพวกคนบาป พระเจ้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไร? คำตอบสำหรับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้จึงถูกเปิดเผย ส่วนหนึ่งอยู่ในเรื่องที่สาม สาวกของยอห์นไปถามพระเยซูว่าทำไมสาวกของพระองค์ไม่อดอาหาร ภายใต้พันธสัญญาเดิม ไม่มีทางออกสำหรับความบาป หรือหนทางที่จะได้สามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า11 ความมั่นใจว่าจะได้ร่วมโต๊ะเสวยต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเป็นบางสิ่งที่ให้ ความหวังสำหรับชีวิตนิรันดร์ (ดูสดุดี 23:4-6) ไม่ได้โดยหนทางของพันธสัญญาเดิม แต่โดยทางพันธสัญญาใหม่ – โดยการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ – คนบาปจึงได้รับการอภัย และเข้าสู่สามัคคีธรรมนิรันดร์กับพระเจ้าได้
พระวจนะในพระกิตติคุณมัทธิวตอนนี้ให้ความมั่นใจกับเราว่ามีบางสิ่งนอก เหนือจากการอภัยบาป พระเยซูไม่เพียงแต่อภัยบาปให้คนบาป แต่ทรงเรียกให้คนบาปมาเป็นสาวกของพระองค์ และมามีส่วนในสามัคคีธรรมร่วมกันกับพระองค์ มัทธิว คนเก็บภาษีและเป็นคนบาป ถูกเรียกให้มาเป็นสาวก เราเห็นท่านและเพื่อนๆในกลุ่มคนบาป ได้นั่งร่วมโต๊ะเสวย เฉลิมฉลองการสถิตอยู่ด้วยของพระเยซูคริสต์
เป็นไปได้ที่บางคนต่อต้านไม่ยอมรับข้อเสนอการอภัยบาปนี้ เพราะพวกเขาคิดว่าจะทำให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินของโลกนี้หมดไป ช่วยไปบอกมัทธิวกับเพื่อนๆด้วยนะครับ! วางใจในพระเยซูเป็นหนทางที่จะติดตามพระองค์ไป เข้าสู่ความปิติที่มีพระองค์อยู่ด้วย ไม่มีความสุขไหนดีไปกว่านี้ ทิ้งบูธภาษีไว้เบื้องหลัง มารับใช้พระองค์ การสถิตอยู่ของพระองค์นั้นชั่วนิรันดร์ ความสุขของพระองค์ก็ไม่จำกัดด้วยครับ
บทเรียนตอนนี้มีสิ่งที่นำไปใช้ได้มากมายสำหรับคนที่วางใจในการอภัยบาปของ พระเยซูแล้ว แรกสุด พระวจนะตอนนี้หนุนใจให้เรากล้าเข้าไปช่วยคนอื่น โดยเฉพาะคนที่หลงหาย ความเชื่อของชายสี่คนที่แบกแคร่คนง่อยไปหาพระองค์ทำให้พระองค์ทรงเห็นความ เชื่อของพวกเขา ในระดับหนึ่ง พวกเขาจึงเป็นเหมือนอุปกรณ์ในการรักษา (การอภัยบาป) ให้เพื่อน ให้เรายอมแบกแคร่ของคนที่หลงหาย ที่ต้องการการอภัยจากพระเยซูนะครับ
พระวจนะตอนนี้ยังเป็นการเตือนสติเราว่าการทำดีไม่ได้สงผลให้มนุษย์ยกย่องนับถือเสมอไป อาจนำมาซึ่งการข่มเหงด้วยซ้ำ:
18“ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน 19ถ้า พวกท่านเป็นของโลก โลกก็ย่อมจะรักคนที่เป็นของโลกเอง แต่เพราะท่านไม่ได้เป็นของโลก คือเราเลือกท่านออกจากโลก เพราะเหตุนี้ โลกจึงเกลียดชังท่าน 20จงระลึกถึงคำที่เรากล่าวกับพวกท่านแล้วว่า ‘บ่าวไม่ได้เป็นใหญ่กว่านาย’ ถ้าพวกเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงพวกท่านด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา พวกเขาก็จะปฏิบัติตามคำของพวกท่านด้วย 21แต่เขาจะทำทุกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักผู้ทรงใช้เรามา (ยอห์น 15:18-21) ดู 1เปโตร 4:1-6; 12-16 ด้วย
พระเยซูถูกต่อต้านเพราะพระองค์ทำสิ่งดีในฐานะพระเจ้า เมื่อเรารับใช้ในพระนามของพระองค์ คาดหวังได้ว่าจะเจอการต่อต้าน เพราะพระนามของพระเยซูคริสต์
สุดท้ายนี้ เราควรเรียนรู้จากมัทธิวว่าพระเยซูไม่ได้เสด็จมาเพื่อ “ปะชุน” ชีวิตของเรา แต่มาเพื่อให้ชีวิตใหม่
17 ฉะนั้น ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น (2โครินธ์ 5:17)
ความเชื่อในพระคริสต์หมายถึงเมื่อเราตายจากชีวิตเก่า เราจะถูกสร้างขึ้นมาในชีวิตใหม่ทั้งหมด:
1 ถ้าอย่างนั้นเราจะว่าอย่างไร? เราจะอยู่ในบาปต่อไปเพื่อให้พระคุณเพิ่มทวีขึ้นหรือ? 2เปล่าเลย เราที่ตายต่อบาปแล้วจะมีชีวิตในบาปต่อไปได้อย่างไร? 3ท่านทั้งหลาย ไม่รู้หรือว่า เราผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในการตายของพระองค์? 4เพราะฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระบิดาทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายโดย พระสิริของพระองค์แล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน 5เพราะว่า ถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตายอย่างพระองค์ 6เรา รู้แล้วว่า คนเก่าของเรานั้นถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป 7เพราะว่าผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป 8แต่ถ้าเราตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย 9เรา รู้อยู่ว่า พระเจ้าทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตาย แล้วพระองค์จะไม่ตายอีก ความตายจะไม่มีอำนาจเหนือพระองค์ต่อไป 10ด้วยว่า ซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้นพระองค์ได้ทรงตายต่อบาปครั้งเดียว เป็นพอ แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตสนิทกับพระเจ้า 11ในทำนองเดียวกัน พวกท่านจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์ (โรม 6:1-11)
ในตอนที่พระกิตติคุณถูกนำเสนอ เป็นเหมือนบางสิ่งที่ “เพิ่มเติม” เข้ามา ผู้คนหลงเชื่อไปว่าพวกเขายังดำเนินชีวิตในแบบเดิมๆอย่างที่เคยได้ และยังได้รับความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ พระกิตติคุณไม่ใช่เป็นการปะของใหม่เข้าไปนะครับ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นน้ำองุ่นหมักใหม่ เมื่อเราได้รับความรอดแล้ว เราได้รับความรอดเพื่อมีชีวิตใหม่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ได้เข้ามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า แต่เราต้องตายต่อวิถีชีวิตเดิมๆด้วย:
17เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวเช่นนี้และยืนยันในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า อย่าดำเนินชีวิตแบบเดียวกับที่พวกต่างชาติดำเนินกัน อีกต่อไป คือมีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งไร้สาระ 18ความ คิดของเขาทั้งหลายถูกทำให้มืดมนไป และเขาขาดจากชีวิตที่มาจากพระเจ้าเนื่องจากความไม่รู้ที่ อยู่ในตัว และความแข็งกระด้างในจิตใจ 19พวกเขาไม่มีความรู้สึกละอายและปล่อยตัวในการลามกเพื่อทำ การโสโครกทุกแบบโดยปราศจากการเหนี่ยวรั้งตน 20แต่ท่านทั้งหลายไม่ได้เรียนรู้ถึงพระคริสต์แบบนั้น 21พวกท่าน เคยฟังเรื่องของพระองค์แล้วอย่างแน่นอน และเคยได้รับการสอนเรื่องพระองค์ตามสัจธรรมที่อยู่ใน พระเยซูแล้ว 22คือได้รับการสอนให้ทิ้งตัวเก่าของพวกท่านที่คู่กับการ ประพฤติแบบเดิม ซึ่งถูกตัณหาล่อลวงทำให้พินาศไป 23และให้วิญญาณและจิตใจของพวกท่านได้รับการเปลี่ยนใหม่ 24และรับการสอนให้สวมสภาพใหม่ซึ่งได้รับการสร้างขึ้นตามแบบ ของพระเจ้าในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง (เอเฟซัส 4:17-24)
ขอพระเจ้านำพระวจนะของพระองค์จากในพระกิตติคุณมัทธิวมาใช้เพื่อให้เรา โอบกอดพระผู้ช่วยให้รอดของเราไว้ พระองค์ผู้เดียวคือหนทางที่เราจะได้รับการอภัยบาป และได้เข้าส่วนมีสามัคคีธรรมเฉลิมฉลองกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
1 1 ลิขสิทธิ 2003 โดย Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. ดัดแปลงจากต้นฉบับของบทเรียนที่ 38 ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย ศบ โรเบิร์ต แอล เดฟฟินบาว พฤษภาคม 30, 2004
2 2 นอกเหนือจากที่บ่งไว้ พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
3 3 จากหนังสือของ William Hendriksen, Exposition of the Gospel According to John, 2 vols. (Grand Rapids: Baker Book House, 1953-1954), vol. 2, p. 122.
4 4 ผมคิดว่าการแปลแบบนี้คงต้องมีเหตุผล ถ้าตามเนื้อหาบ่งว่าพระเยซูทรงเห็น ทรงรู้ความคิด หรือรู้เหตุผลพวกเขาอย่างที่บางฉบับแปล ทั้งมาระโก 2:8 และลูกา 5:22 ทำให้เห็นชัดว่าพระเยซูทรงแยกแยะความคิดในใจพวกเขาได้ หรืออาจเป็นได้ที่พวกเขากระซิบกระซาบกัน แต่ไม่คิดว่าเนื้อหาตอนนี้ ตอนที่พระเยซูประกาศว่าทรงเป็นพระเจ้า แล้วคิดว่าผู้เขียนกำลังบอกว่าพระองค์ทรงอ่านจากภาษากายของพวกเขา
5 5 เรารู้แน่นอนว่าการสำนึกผิดกลับใจที่แท้จริงและความเชื่อจะเกิดผล “จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น” (มัทธิว 3:8 และ 7:15-20) แต่ตรงนี้พระเยซูทรงพูดถึงในทันที ไม่มีข้อหักล้าง พิสูจน์ได้
7 7 ในมัทธิว 10:3 บอกว่า “มัทธิวเป็นคนเก็บภาษี”
8 8 เป็นได้หรือไม่ที่ลูกา 18:9-14 เป็นมากกว่าคำอุปมา? และคนเก็บภาษีที่พูดถึงอาจเป็นมัทธิว? เพราะเรื่องการทรงเรียกของมัทธิวอาจสนับสนุนพระวจนะตอนนี้ ถึงแม้ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นมัทธิวก็ตาม
9 9 “ในสองวัน”
11 11 ที่อ่านจากในหนังสืออพยพ 24:9-11 ไม่มีพระวจนะตอนอื่นที่พูดเรื่องแบบเดียวกันนี้ในพระคัมภีร์เดิม เป็นเหตุการณ์ที่แทบไม่เคย และไม่คาดคิดมาก่อน เป็นการเล็งถึงสวรรค์
Related Topics: Christology, Cultural Issues, Fasting