MENU

Where the world comes to study the Bible

20. มัทธิว บทเรียนที่ 20 “คนโรคเรื้อน คนต่างชาติ และหญิงชรา” (มัทธิว 8:1-17)

Related Media

คำนำ1

1 เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขาแล้วคนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์ไป 2 ขณะนั้นมีคนโรคเรื้อนมากราบไหว้พระองค์แล้วทูลว่า “พระองค์เจ้าข้าเพียงแต่พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรค ได้”3 พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องเขาแล้วตรัสว่า “เราพอใจแล้วจงหายเถิด” ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย 4 ฝ่ายพระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “อย่าบอกเล่าให้ผู้ใดฟังเลยแต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาตาม ซึ่งโมเสสได้สั่งไว้เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว”2

5 เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมมีนายร้อยคนหนึ่งมาอ้อน วอนพระองค์ 6 ว่า “พระองค์เจ้าข้าบ่าวของข้าพระองค์เป็นง่อยอยู่ที่บ้านทนทุกข์เวทนามาก” 7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย”8 นายร้อยผู้นั้นทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้าข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคา ของข้าพระองค์ขอพระองค์ตรัสเท่านั้นบ่าวของข้าพระองค์ก็จะหายโรค 9 ข้าพระองค์รู้ดีเพราะเหตุว่าข้าพระองค์อยู่ใต้วินัยทหารแต่ก็ยังมีทหารอยู่ ใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไปบอกแก่คนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มาบอกทาสของข้าพระองค์ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”10 ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนักตรัสกับบรรดาคนที่ตามพระ องค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าเราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้แม้ใน อิสราเอล 11 เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจะมาร่วม สำรับกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในแผ่นดินสวรรค์12 แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดที่นั่นจะมีเสียง ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” 13 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า”จงกลับบ้านเถิดท่านมีศรัทธาแล้วจงได้ผลตาม ศรัทธานั้น” ในทันใดนั้นเองบ่าวของเขาก็หายเป็นปกติ3

14 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตรก็ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับ ไข้อยู่ 15 พอพระองค์ทรงจับมือนางความไข้ก็หายนางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์ 16 พอค่ำลงเขาพาคนผีเข้าสิงเป็นอันมากมาหาพระองค์พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระ ดำรัสและบรรดาคนเจ็บป่วยทั้งหลายนั้นพระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะโดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่าท่านได้แบก ความเจ็บไข้ของเราทั้งหลายและหอบโรคของเราไป”4 (มัทธิว 8:1-17)5

ถ้อยคำแรกของมัทธิวบทที่ 8 เชื่อมต่อด้วยการทำอัศจรรย์หลังจากที่พระเยซูเสร็จจากการเทศนาบนภูเขา :

เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขาแล้วคนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์ไป (มัทธิว 8:1)

มัทธิวคงต้องการให้ผู้อ่านเห็นการเชื่อมโยงระหว่างคำเทศนาบนภูเขาในบทที่ 5-7 และการอัศจรรย์ที่ตามมาในบทที่ 8 ให้เริ่มต้นด้วยการทบทวนว่าเราเรียนอะไรมาบ้างจนถึงบทนี้

ในบทที่ 1 และ 2 มัทธิวบันทึกเรื่องต้นกำเนิดของพระเยซู เรื่องราวการถือกำเนิดมาของพระเยซูถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้อ่านตระหนักได้ ว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา สืบเชื้อสายมาทางอับราฮัม (1:1) และทางดาวิด (1:5-6) ดังนั้นพระองค์ทรงถือกำเนิดมาในเชื้อสายของพระเมสซิยาห์ สี่ครั้งในสองบทนี้ มัทธิวกล่าวว่าเหตุการณ์นี้เป็นไปตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิม6เรา จึงได้เห็นว่าในพงษ์พันธ์ของพระเยซู มีคนต่างชาติเกี่ยวข้องด้วย (1:3, 5) และพวกโหราจารย์ (2:1-12) ที่เดินทางมาเพื่อนมัสการ “กษัตริย์ของชาวยิว” และยังได้เห็นความวุ่นวายใจในท่ามกลางชาวยิวในเยรูซาเล็ม (2:3) และการอาฆาตมาดร้ายอย่างรุนแรงของเฮโรด

ในบทที่ 3 เป็นเรื่องของยอห์นผู้ให้บัพติศมา การมาของยอห์นทำให้คำพยากรณ์ในอิสยาห์ 40:3 (มัทธิว 3:3) เกิดขึ้นเป็นจริง ยอห์นประกาศว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว และเรียกร้องให้ผู้คนสำนึกผิดกลับใจจากบาป รอรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในขณะเดียวกัน ท่านกล่าวตำหนิพวกฟาริสีและสะดูสีที่มาเฝ้าดูด้วยความหน้าซื่อใจคด พวกเขาถูกท้าทายให้ “พิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น” (3:8) พระเมสซิยาห์กำลังเสด็จมาใกล้แล้ว ขณะที่ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ พระเมสซิยาห์จะให้ “บัพติศมา” ด้วยไฟ (3:11-12) พระเยซูเสด็จไปหายอห์นเพื่อรับบัพติศมา หลังจากที่ยอห์นรีรอไม่แน่ใจ ท่านก็ยอมให้บัพติศมาพระเยซู ในทันใดนั้น พระบิดา พระวิญญาณของพระเจ้าลงมาสถิต ยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรที่รักยิ่งของพระเจ้า เป็นพระเมสซิยาห์ (3:13-17)

ในบทที่ 4 พระเยซูทรงมีชัยชนะเหนือการผจญของมารในถิ่นทุรกันดาร (4:1-11) หลังจากที่ยอห์นถูกจับ พระเยซูเสด็จออกจานาซาเร็ธ ย้ายไปคาร์เปอรนาอุม ซึ่งเป็นไปตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ 9:1 (4:15-16) และที่นี่พระเยซูทรงเรียกสาวกอย่างน้อยสี่คน – เปโตร อันดรูว์ ยากอบ และยอห์น (4:18-20) และพระองค์ทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน และรักษาโรค ทำให้ดึงดูดฝูงชนมากมาย:

23 พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลีทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขาทรงประกาศข่าว ประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย 24 กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรียเขาจึงพาคนป่วยเป็นโรค ต่างๆคนที่ทนทุกข์เวทนาคนผีเข้าคนเป็นลมบ้าหมูและคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย 25 และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลีและแคว้นทศบุรีและกรุงเยรูซาเล็มและแคว้นยู เดียและแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกติดตามพระองค์ไป (มัทธิว 4:23-25)

และนำสู่การเทศนาบนภูเขา (มัทธิว 5-7) สาระสำคัญในคำสอนของพระเยซู (ข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ) จึงเริ่มต้น หัวใจสำคัญคือพระองค์ทรงแสดงให้เห็นชัดเจนเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งที่ พระองค์ประกาศ และการเชื่อมโยงเข้ากับธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม ในด้านหนึ่ง พระเยซูทรงแก้ไขการตีความธรรมบัญญัติอย่างผิดๆ และนำมาใช้ในยุคนั้น – ผู้นำศาสนาชาวยิวยังสนับสนุนให้นำข้อผิดพลาดนั้นมาใช้ด้วย พวกเขาเน้นแต่การเชื่อฟังภายนอก พระเยซูทรงเน้นเข้าไปในจิตใจ พวกเขาสอนว่าฆ่าคนเป็นสิ่งผิด พระเยซูทรงสอนว่าแค่คิดว่าเพื่อนบ้านของคุณไร้ค่า หรือไม่ยอมคืนดีในความสัมพันธ์ที่แตกหัก ก็ผิด (5:21-26) พวกเขาสอนว่าการล่วงประเวณีเป็นบาป พระเยซูสอนว่าแค่มองให้เกิดใจกำหนัดก็บาปแล้ว (5:27-30)

ศาสนายูดายได้เปลี่ยนบทบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมไปเป็นระบอบการพากเพียรทำ พระเยซูสอนว่าไม่มีใครรับความรอดได้โดยดำเนินชีวิตให้ได้ตามธรรมบัญญัติ แม้แต่ผู้สอนธรรมบัญญัติและฟาริสี ที่ดูเหมือนเคร่งครัดศรัทธาที่สุดแล้วในศาสนายิว:

“เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าความชอบ ธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีท่านจะไม่มี วันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:20)

ถ้อยคำที่น่าตระหนกนี้สื่อไปยังคนฟังที่นั่งรายล้อม และหลายคนที่นึกเอาว่าตนเองยังไงก็ได้ไปสวรรค์ (ทำให้สงสัยว่า) จะได้ไปจริงหรือ? และที่น่าตระหนกกว่า พระเยซูทรงระบุด้วยว่าใครได้ไป ไม่ได้ไป – ผู้ที่รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ, ผู้ที่โศกเศร้า, ผู้ที่มีใจอ่อนโยน, ผู้ที่มีใจกรุณา และผู้ที่ถูกข่มเหง (5:1-16) ศาสนาเที่ยงแท้ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำดี แต่เป็นเรื่องของความเชื่อ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เห็นจากภายนอก แต่เป็นเรื่องของจิตใจภายใน ศาสนาเที่ยงแท้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผู้นำศาสนาอยากจะให้เหมือนให้ทาน หรืออยากจะกักเก็บเอาไว้เองก็ได้ แต่ทุกสิ่งคือองค์พระเยซูคริสต์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงเตือนผู้คนถึง “ทางกว้าง” ที่นำไปสู่ความพินาศ (7:13-14) และผู้เผยพระวจนะหรือคนสอนศาสนาเทียมเท็จ (7:15-23)

ในบทสรุปคำเทศนาของพระเยซู พระองค์ทรงเน้นและย้ำว่าความเชื่อแท้ไม่ใช่เป็นแค่ถ้อยคำสวยหรู แต่เป็นการกระทำที่แสดงออกถึงความเชื่อนั้น (7:24-27) ไม่ใช่แค่คนที่ได้ยินว่าได้รับความรอด แต่เป็นคนที่จริงจังกับข่าวประเสริฐ การกระทำเป็นตัวบ่งถึงสิ่งที่พูด คำพูดพิสูจน์ได้ด้วยการลงมือทำ7 คำลงท้ายของบทที่ 7 ทำให้ฝูงชนที่ฟังอยู่สัมผัสได้ถึงสิทธิอำนาจของพระเยซู ซึ่งต่างจากผู้นำศาสนาของพวกเขา:

28 ครั้นพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้วประชาชนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่ง สอนของพระองค์ 29 เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจหาเหมือนพวกธรรมาจารย์ของเขา ไม่ (มัทธิว 7:28-29)

ผมเชื่อว่าข้อพระคำที่ต่อจากนั้นในมัทธิวบทที่ 8 เป็นสิ่งที่สนับสนุนสิทธิอำนาจของพระเยซู พระคำของพระองค์รับรองด้วยสิ่งที่พระองค์กระทำ พระเยซูตรัสสอนด้วยสิทธิอำนาจในคำเทศนาบนภูเขา และจากนั้นทรงกระทำอัศจรรย์รักษาโรค และช่วยผู้คน บ่อยครั้งเพียงคำตรัส ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ตามที่ทรงเทศนาบนภูเขา พระองค์ก็ทรงรับรองสิ่งที่ทรงประกาศด้วยการกระทำในบทที่ 8

ทรงรักษาคนโรคเรื้อน8

1 เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขาแล้วคนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์ไป 2 ขณะนั้นมีคนโรคเรื้อนมากราบไหว้พระองค์แล้วทูลว่า”พระองค์เจ้าข้าเพียงแต่ พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้” 3 พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องเขาแล้วตรัสว่า “เราพอใจแล้วจงหายเถิด” ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย 4 ฝ่ายพระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “อย่าบอกเล่าให้ผู้ใดฟังเลยแต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาตาม ซึ่งโมเสสได้สั่งไว้เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว” (มัทธิว 8:1-4)

ข้อ 1 บอกกับผู้อ่านว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลังจากคำเทศนาบนภูเขาจบลง พระเยซูเสด็จลงมาจากภูเขา และเพราะคำสอนของพระองค์ คนเป็นอันมากจึงติดตามมา พวกเขาคงได้เห็นเป็นพยานถึงอัศจรรย์ที่ทรงทำหลังเสร็จจากการเทศนา และเสด็จลงมาจากภูเขา

การอัศจรรย์รักษาโรคครั้งแรกที่มัทธิวบันทึก เป็นเรื่องของชายที่ป่วยน่าสงสารและหมดหนทางรักษา มัทธิวบอกว่าชายคนนั้นเป็นโรคเรื้อน (ข้อ 2) ลูกาบันทึกว่าเขาเป็นโรคเรื้อน “เต็มทั้งตัว”9 นักวิชาการพระคัมภีร์บอกเราว่า “โรคเรื้อน” ในสมัยนั้น ต่างจาก “โรคเรื้อน” ในสมัยของเรา ในความเห็นของผม มันแย่ยิ่งกว่า ขอเล่ารายละเอียดถึงความสยดสยองในอาการของโรค10 โรค เรื้อนถูกมองว่าเป็นคำสาป มีเรียมเป็นโรคเรื้อนเพราะถูกลงโทษที่กบฎและต่อต้านโมเสส (กันดารวิถี 12:9-15) เช่นเดียวกับเกหะซี คนรับใช้ของเอลีชา เป็นโรคเรื้อนเพราะความโลภ (2พงศ์กษัตริย์ 5:20-27) คำสาปแช่งที่ดาวิดลงโทษพงษ์พันธ์ของโยอาบรวมเรื่องโรคเรื้อนไว้ด้วย (2ซามูเอล 3:29) กษัตริย์อุสซีอาห์ เป็นโรคเรื้อนเพราะไปเผาเครื่องหอมบูชาที่ในพระวิหาร (2พงศาวดาร 26:16-21) โรคเรื้อนจึงเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดของที่สุด ไม่มีทางรักษา มีแต่นอนรอความตาย ถ้าเทียบกับสมัยนี้ อาจเป็นมะเร็งขั้นรุนแรง เพียงแต่อาการของโรคเรื้อนนั้นมองเห็นได้ และมันน่าเกลียดน่ากลัว

โรคเรื้อนจึงบ่งเป็นนัยครอบคลุมถึงคนใกล้ตายที่ยังหายใจ ก่อนประกาศว่าผู้ใดเป็นโรคเรื้อน ต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน (เลวีนิติ 13) ทันทีที่ปุโรหิตประกาศ คนที่เป็นโรคเรื้อนจะถูกตัดขาดจากสังคม ห้ามข้องเกี่ยวและติดต่อกับผู้ใด พวกเขาต้องประกาศตนด้วยการคร่ำครวญ เหมือนกับศพ (ที่ถ้าใครไปแตะถูกก็จะเป็นมลทิน) คนโรคเรื้อนต้องฉีกเสื้อผ้าของตน ไม่คลุมศีรษะ เอามือปิดปากบน และถ้ามีใครเข้าไปใกล้ พวกเขาต้องรีบตะโกนว่า “มลทิน มลทิน” ต้องไปอาศัยอยู่ที่นอกค่าย (เลวีนิติ 13:45-46) โดยทั่วไป คนโรคเรื้อนไม่อาจเข้าไปในพระวิหาร หรือแม้แต่เข้าไปในเขตเมืองเยรูซาเล็ม คนโรคเรื้อนจึงเป็นเหมือนคนตายที่ยังมีลมหายใจ ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้

ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่ออ่านเรื่องที่มัทธิวบันทึกเรื่องรักษาคนเป็นโรค เรื้อน ดูเหมือนขณะที่พระเยซูประทับอยู่ในเขตเมืองหนึ่งในกาลิลี ชายโรคเรื้อนคนนี้กล้ามาก ฝ่าฝูงชนเพื่อจะเข้าไปหาพระองค์ เขาต้องการรับการรักษา นี่ไม่ใช่ธรรมดา เขาควรต้องอยู่ห่างออกไป ผมแทบมองเห็นภาพฝูงชนแตกฮือ เมื่อคนโรคเรื้อนนี้เข้าไปหาพระเยซู ใครจะไปกล้าจับตัวให้หยุด? ผู้คนคงถอยกรูด เฝ้าดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

คนโรคเรื้อนนั้นก้มลงกราบไหว้พระเยซู ร้องทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้” (8:2) เขาพูดถูกครับ ถูกที่เรียกว่าพระเยซูคือ “องค์พระผู้เป็นเจ้า” และถูกที่พระองค์สามารถรักษาให้เขากลับมาสะอาดได้ เขาพูดถูกที่ว่าพระองค์จะทรงโปรดหรือไม่ก็สุดแท้แต่พระองค์ อย่างที่หลายคนสังเกตุ ชายโรคเรื้อนคนนี้มองเห็นถึงสิทธิอำนาจในพระเยซู พระองค์ไม่จำเป็นต้องอธิษฐานเผื่อเขา พระองค์ทรงรักษาเขาได้

เราแทบไม่แปลกใจที่พระองค์ทรงตอบว่า “เราพอใจแล้วจงหายเถิด” (ข้อ 2) คุณคงแทบได้ยินเสียงกลั้นหายใจและถอนหายใจของคนที่เฝ้าดูอยู่เมื่อพระเยซู ยื่นพระหัตถ์ออกไปแตะตัวเขา มัทธิวบันทึกไว้ชัดเจน พระเยซูทรงตั้งใจยื่นพระหัตถ์ออกไปแตะตัวชายคนนี้ คนที่ไม่เคยถูกสัมผัสจากมนุษย์มานานแสนนาน ประหลาดใจหรือไม่ ทั้งๆที่พระองค์ทรงรักษาเขาด้วยคำตรัสเท่านั้นก็พอ แต่ทรงเลือกที่จะใช้ทั้งคำตรัสและการสัมผัสตัว!

พระเยซูทรงสั่งห้ามชายที่หายจากโรคเรื้อน ไม่ให้เล่าให้ใครฟังเรื่องการรักษา แต่ให้ไปหาปุโรหิต ในหนังสือเลวีนิติในพระคัมภีร์เดิมมีบท (14) มีข้อกำหนดและขั้นตอนต่างๆก่อนที่ปุโรหิตจะประกาศว่าคนโรคเรื้อนนี้หายสะอาด แล้ว ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา “บัญญัตินี้” เหมือนนอนหลับไหล ไม่เคยถูกแตะต้อง ไม่เคยนำมาใช้ แต่วันนี้ปุโรหิตประจำการมีโอกาสได้นำมาใช้ มีโอกาสได้เห็นคนโรคเรื้อนรับการรักษาให้หาย และผู้ที่รักษามีนามว่าพระเยซู ชายที่เคยเป็นโรคเรื้อนต้องไปหาปุโรหิต เพื่อให้ตรวจสอบและยืนยันว่าเขาหายจากโรคและสะอาดดี เท่ากับปุโรหิตต้องเป็นผู้รับรองการอัศจรรย์นี้ และคิดหนักมากว่าหมายถึงอะไร

รักษาบ่าวของนายร้อย (มัทธิว 8:5-13)

5 เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมมีนายร้อยคนหนึ่งมาอ้อน วอนพระองค์ 6 ว่า “พระองค์เจ้าข้าบ่าวของข้าพระองค์เป็นง่อยอยู่ที่บ้านทนทุกข์เวทนามาก” 7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” 8 นายร้อยผู้นั้นทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้าข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคา ของข้าพระองค์ขอพระองค์ตรัสเท่านั้นบ่าวของข้าพระองค์ก็จะหายโรค 9 ข้าพระองค์รู้ดีเพราะเหตุว่าข้าพระองค์อยู่ใต้วินัยทหารแต่ก็ยังมีทหารอยู่ ใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไปบอกแก่คนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มาบอกทาสของข้าพระองค์ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”10 ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนักตรัสกับบรรดาคนที่ตามพระ องค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าเราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้แม้ใน อิสราเอล11 เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจะมาร่วม สำรับกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในแผ่นดินสวรรค์12 แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดที่นั่นจะมีเสียง ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”13 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า “จงกลับบ้านเถิดท่านมีศรัทธาแล้วจงได้ผลตามศรัทธานั้น” ในทันใดนั้นเองบ่าวของเขาก็หายเป็นปกติ (มัทธิว 8:5-13)11

การรักษานี้ให้รายละเอียดไว้ค่อนข้างมาก มากกว่ารักษาชายโรคเรื้อน (เก้าข้อ เทียบกับสาม) จึงต้องมีความสำคัญ ให้ดูว่าคนที่สำคัญ (นอกจากพระเยซู) คือนายร้อย เขาเป็นทหาร มีผู้ใต้บังคับบัญชา 100 คน มาอยู่ในอิสราเอลเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ในพระคัมภีร์ใหม่พูดถึงพวกนายร้อยไว้ค่อนข้างดี12 ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ นายร้อยคนนี้เป็นคนต่างชาติ13 ผมคิดว่ามีเหตุผลพอพูดได้ว่าบ่าวของนายร้อยคนนี้ (เด็กหนุ่ม) เป็นยิว เพราะใครจะทำหน้าที่เป็นบ่าวรับใช้ให้กับคนต่างชาติในอิสราเอลได้? และผมไม่ประหลาดใจ ถ้าบ่าวคนนี้เป็นผู้ทำให้นายร้อยมานับถือศาสนายูดาย นอกจากนี้ คงมีการเอ่ยถึงพระเยซูบ่อยจนนายร้อยต้องไปตามหา หน้าที่ของนายร้อยคือรักษาความสงบให้กับดินแดนที่เข้าไปยึดครอง ใครก็ตามที่ดูเหมือนก่อเรื่องวุ่นวายจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ลูกาบอกเราว่าทาสคนนี้ผู้เป็นนาย “รักมาก” (ลูกา 7:2) เห็นได้จากการที่เขาพยายามหาทางช่วยรักษาให้หาย เพื่อไม่ต้องทนทุกข์เวทนาอีกต่อไป (มัทธิว 8:6)

สังเกตุให้ดีจะเห็นว่านายร้อยคนนี้ไม่ได้ขอสิ่งใดให้ตนเอง เขารู้สึกสะเทือนใจเพราะอาการทุกข์ทรมานของบ่าว และคนต่างชาติคนนี้เชื่อว่าพระเยซูเสด็จมาเพื่ออวยพรประชากรของพระองค์ ชาวยิว เนื่องจากเขาไม่ได้ขอให้ตัวเอง แต่ขอให้พระเยซูรักษาบ่าว (ชาวยิว) ของเขา ดูเขามั่นใจว่าพระเยซูจะทำตามที่เขาร้องขอ แล้วเราก็เห็นว่าพระเยซูทรงเต็มพระทัยช่วย นายร้อยยังพูดไม่ทันจบ เมื่อพระเยซูตรัสว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย”(8:7)

ทำให้นายร้อยตั้งตัวแทบไม่ทัน เขารู้ดีถึงข้อกฎหมายและบทบัญญัติที่กั้นขวางระหว่างชาวยิวและคนต่างชาติ เราคงจำเรื่องเปโตรไปที่บ้านของนายร้อยโครเนลิอัส (กิจการ 10) เพื่อเข้าใจความหนาของกำแพงที่กั้นขวาง นายร้อยคนนี้คงอยากให้พระเยซูไปรักษาบ่าวของเขา แต่จะให้พระองค์มัวหมองเพราะไปที่บ้านเขาได้อย่างไร? (เขาคงไม่รู้ว่าพระเยซูเพิ่งจะถูกตัวชายโรคเรื้อนมา) นี่ไม่ใช่เป็นเพราะเขาขาดความเชื่อ แต่เป็นเพราะเขาถ่อมตัว ยอมรับสถานะว่าเป็นเพียงคนต่างชาติ

ซึ่งแตกต่างจากคำร้องขอของข้าราชการคนหนึ่งในยอห์น 4:46-50 ในกรณีนั้น เขาอ้อนวอนให้พระเยซูไปที่บ้านเพื่อรักษาบุตรของเขาที่ป่วยใกล้ตาย แต่นายร้อยกลับขอไม่ให้พระองค์เสด็จไปที่บ้าน มีเหตุผลสองประการครับ ประการแรก เขาไม่สมควร14ที่จะให้พระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้านของเขา (มัทธิว 8:8) ทำไมเขาจะทำให้พระองค์ต้องมัวหมองเพราะไปที่บ้านของเขา? ประการที่สอง ซึ่งดีกว่า – พระเยซูไม่จำเป็นต้องไปที่บ้านของเขา เพราะนายร้อยคนนี้ตระหนักดีถึงฤทธิอำนาจของพระองค์ ฤทธิอำนาจของพระเยซูนั้นยิ่งใหญ่ จนไม่จำเป็นต้องเสด็จไปที่บ้าน แค่พระองค์ตรัสสั่ง บ่าวของเขาก็จะได้รับการรักษาให้หาย

ตัวนายร้อยเองก็เป็นผู้มีอำนาจตามขอบเขต เมื่อเขาสั่งผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้ทำบางสิ่ง พวกเขาก็จะทำ แต่อำนาจของพระเยซูยิ่งใหญ่กว่ามาก ทำไมพระองค์ต้องมัวหมองด้วยการไปที่บ้านของเขา ในเมื่อพระองค์ทำการรักษาจากที่ๆพระองค์ประทับอยู่ได้?

นายร้อยคนนี้ได้มากกว่าที่ทูลขอ และนี่เป็นผลมาจากความเชื่อ ไม่ใช่เป็นเพราะมีอำนาจจากสายงานในกองทัพ อย่าลืมว่าชายคนนี้ไม่ได้ขออะไรให้ตัวเอง แต่ให้กับบ่าว (ชาวยิว?) ของเขา แต่กลับได้รับพระพรดีที่สุดสองประการซึ่งเกินความคาดหวัง

ประการแรก นายร้อยคนนี้ได้รับคำยกย่องอย่างสูง สูงเกินกว่าผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวต่างชาติ และถูกบันทึกไว้ในหนังสือพระกิตติคุณด้วย “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าเราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้แม้ในอิสราเอล” (ข้อ 10) ความเชื่อของคนต่างชาติคนนี้แซงหน้าคนยิวในอิสราเอลไป และได้รับคำชมเชยจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ประการที่สอง ชายผู้นี้ได้รับพระสัญญาของพระเยซูให้เข้ามีส่วนร่วม และมีสามัคคีธรรมเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด นายร้อยคนนี้คิดว่าตนเองนั้นไม่สมควร (ไม่มีคุณสมบัติพอ) ที่จะให้พระเยซูเสด็จเข้าไปในชายคาบ้าน แต่ดูสิ่งที่พระเยซูสัญญากับเขาเพราะความเชื่อที่เขามี:

11 “เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจะมา ร่วมสำรับกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในแผ่นดินสวรรค์12 แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดที่นั่นจะมีเสียง ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”(มัทธิว 8:11-12)

เหนือสิ่งอื่นใด อาหารที่โต๊ะเฉลิมฉลองตามธรรมบัญญัติของชาวยิวจะแยกพวกเขาออกจากคนต่างชาติ อย่างกรณีของเปโตร ทั้งในกิจการ 10 และในกาลาเทีย 2 นายร้อยคนนี้นึกภาพพระเยซูเข้าไปในบ้านเขาไม่ออก ไม่ต้องพูดถึงร่วมนั่งโต๊ะเสวย แต่พระเยซูทรงบอกเขาว่า ในแผ่นดินของพระองค์ เขาจะได้นั่งโต๊ะร่วมรับประทานอาหารกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ พระองค์ยังบอกด้วยว่าจะมีคนต่างชาติเป็นอันมากนั่งอยู่ด้วย ในขณะที่ชาวยิวจำนวนมากจะไม่ได้รับโอกาสนั้น

เมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ที่บนกางเขน และทรงคืนพระชนม์ เสด็จกลับสู่พระบิดา และเมื่อมีการเขียนจดหมายฝากในพระคัมภีร์ใหม่ ทำให้เราเข้าใจว่าเหตุการณ์นี้ว่าเป็นไปได้อย่างไร แรกสุด นายร้อยคนนี้ได้ทำในสิ่งที่เป็นพรต่อเชื้อสายของอับราฮัม :

1 พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า “เจ้าจงออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากบ้านบิดาของเจ้าไปยังดินแดนที่เราจะบอก ให้เจ้ารู้ 2 เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่เราจะอวยพรแก่เจ้าจะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต เลื่องลือไปแล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร3 เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้าเราจะสาปคนที่แช่งเจ้าบรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลก จะได้พรเพราะเจ้า” (ปฐมกาล 12:1-3)

แปลกใจหรือไม่? เห็นพระสัญญาที่พระเจ้าจะอวยพรเขา?

ที่สำคัญที่สุด ในบริบทของมัทธิวตอนนี้ ชาติพันธ์ของคนใดคนหนึ่งไม่ได้เป็นตัวกำหนดชีวิตนิรันดร์ของเขา แต่เป็นความเชื่อ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาบ่งไว้ชัดเจนว่าชาวยิวหลายคนจะไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ แต่จะต้องเจอกับการพิพากษานิรันดร์แทน:

7 ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสีและพวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมากเพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าชาติงูร้ายใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น 8 เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น 9 อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดาเพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่าพระ เจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 10 บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้วและทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยน ทิ้งในกองไฟ (มัทธิว 3:7-10)

ประเด็นคือไม่ใช่เป็นเรื่องของเชื้อชาติที่เขาเกิดมา และไม่ใช่เรื่องการเพียรทำเพื่อให้ได้มา แต่เป็นความเชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา นี่คือสิ่งที่ทำให้บางคนได้เป็นเชื้อสายแท้จริงของอับราฮัม:

13 เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มีมาโดยพระบัญญัติ แต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ 14 ถ้าเขาเหล่านั้นที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพระสัญญาก็เป็นอันไร้ประโยชน์ 15 เพราะธรรมบัญญัติเป็นเหตุให้มีการลงพระอาชญา แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิดธรรมบัญญัติ 16 ด้วยเหตุนี้เอง การที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือธรรมบัญญัติพวกเดียว แต่แก่บรรดาคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเรา 17 ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของมวลประชาชาติ ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มี ให้มีขึ้น (โรม 4:13-17)

นายร้อย แสวงหาความเมตตาให้แก่บ่าวของตน มาหาพระเยซูบนพื้นฐานของความเชื่อ และด้วยความเชื่อนี้ ไม่เพียงแต่รักษาบ่าวให้หาย แต่ช่วยให้ตัวเขาเองได้รับความรอด คนที่อ่านเรื่องคำเทศนานี้ส่วนมากคือคนต่างชาติ พระวจนะตอนนี้ (ที่ต่อมาได้รับการเปิดเผยในพระคัมภีร์ใหม่) บอกเราว่าคนต่างชาติ (และคนยิว) สามารถ – รับ – และจำเป็นต้อง – ได้รับความรอดอย่างไร นี่เป็นถ้อยคำหวานหอมที่สุดที่เราเคยได้ยิน และเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุดที่พระผู้ช่วยให้รอดของเราประทานให้

สตรีชรา (แม่ยายของเปโตร) มัทธิว 8:14-17

14 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตร ก็ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับไข้อยู่ 15 พอพระองค์ทรงจับมือนาง ความไข้ก็หาย นางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์ 16 พอค่ำลง เขาพาคนผีเข้าสิงเป็นอันมากมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัส และบรรดาคนเจ็บป่วยทั้งหลายนั้น พระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย 17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะโดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า ท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบโรคของเราไป (มัทธิว 8:14-17)

แม่ยายของเปโตรมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการอัศจรรย์ทั้งสองก่อนหน้า? ทำไมถึงมาบอกเราว่าเธอได้รับการรักษาให้หายแล้ว? ในเรื่องนี้ เธอได้รับการรักษาโดยไม่มีคำตรัสสักคำ ไม่มีแม้แต่ถามไถ่ถึงอาการ ตามที่บันทึกไว้ในมาระโกและลูกา มีคนทูลอ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วยรักษา15 และแน่นอน นี่เป็นอาการเจ็บป่วยอีกแบบ ไม่ใช่เป็นแค่ “ปวดศีรษะ” แต่บันทึกว่านางนอนป่วยจับไข้อยู่16

การรักษาแม่ยายของเปโตรเพิ่มเติมให้เห็นถึงฤทธิอำนาจในการรักษาของพระ เยซู แบบในทันที ครั้งนี้พระองค์ทรงรักษาขณะที่สัมผัสมือนาง และที่ทำให้การรักษานี้อัศจรรย์ยิ่งขึ้น คือในทันใดนางก็หายจากอาการป่วย ลุกขึ้นและปรนนิบัติพระองค์และคนอื่นๆ (พระเยซู พวกสาวก และคนอื่นๆที่อยู่ในบ้าน)17

แต่ผมค่อนข้างจะคิดไปว่าการรักษาแม่ยายของเปโตรมีสาเหตุสำคัญบางอย่าง และเป็นสิ่งที่มัทธิวเน้นในตอนนี้ การอัศจรรย์ที่พระเยซูกระทำน่าจะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วแบบปากต่อปาก เพราะพอตอนค่ำ มีผู้คนมากมายมาหาพระองค์ที่บ้านของเปโตร และพระเยซูทรง “ปรนนิบัติ” พวกเขาด้วยการรักษาทุกคนให้หาย (มัทธิว 8:16) มีการขับผีออกด้วย “พระดำรัส” อีกด้วย ( 8:16)

แล้วมัทธิวก็นำเข้าสู่คำพยากรณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจริงอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นไปตามคำพยากรณ์จากในพระคัมภีร์เดิม:

16 พอค่ำลง เขาพาคนผีเข้าสิงเป็นอันมากมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัส และบรรดาคนเจ็บป่วยทั้งหลายนั้น พระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย 17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะโดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า ท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบโรคของเราไป (มัทธิว 8:16-17)

เป็นถ้อยคำที่นำมาจากอิสยาห์ 53:4 และเป็นส่วนหนึ่งของคำพยากรณ์ใหญ่ ขออนุญาตนำส่วนใหญ่ของคำพยากรณ์นี้มาให้ดู:

4 แน่ทีเดียวท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย
และหอบความเจ็บปวดของเราไป
กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี
คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ
5 แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย
ท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา
การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้นตกแก่ท่าน
ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี
6 เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ
เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง
และพระเจ้าทรงวางลงบนท่าน ซึ่งความบาปผิดของเราทุกคน (อิสยาห์ 53:4-6)

อิสยาห์เชื่อมโยงความเจ็บไข้เข้ากับความบาป ซึ่งก็สมควร ท่านพยากรณ์ว่าเมื่อพระเมสซิยาห์เสด็จมา พระองค์จะทรงหอบความเจ็บปวดของเราไป รวมถึงความบาปผิดด้วย ยังแปลกใจอยู่หรือไม่ เมื่อพระเยซูเสด็จมาบนโลก ประกาศว่าพระองค์คือพระเมสซิยาห์ พระองค์ควรต้องรักษาผู้คนจากอาการเจ็บป่วยทั้งหลาย? พระเยซูทรงแสดงให้เห็นชัดว่าที่ทรงยกโทษบาปนั้นเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นกับ ที่พระองค์ทรงรักษาโรค

2 ดูเถิด เขาหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” 3 เมื่อได้ยินตรัสดังนั้น พวกธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า” 4 ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายคิดชั่วอยู่ในใจเล่า 5 ที่จะว่า ‘เจ้าได้รับอภัยเรื่องบาปของเจ้าแล้ว’ และจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้นข้างไหนจะง่ายกว่ากัน 6 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด” 7 เขาจึงลุกขึ้นไปบ้าน (มัทธิว 9:2-7)

บทสรุป

แต่ละอัศจรรย์มีความมหัศจรรย์อยู่ภายนอกและภายในนั้น เราควรใส่ใจ ดูเหมือนมัทธิวละเรื่องลำดับเวลาเพื่อให้เรื่องราวสอดคล้องกันไปมากกว่า18 ผมเชื่อว่ากุญแจที่จะเข้าใจพระวจนะตอนนี้คือ เรื่องราวต่างๆสอดคล้องและต่อเนื่องจากคำเทศนาบนภูเขา ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูตรัสถึงความสัมพันธ์ของพระองค์กับธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัติไม่อาจช่วยมนุษย์ให้รอดได้ ได้แต่สาปแช่ง (มัทธิว 5:20) พระองค์ไม่ได้มาล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่ทรงมาทำให้สำเร็จครบถ้วน (5:17-19) พระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ มีอำนาจแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการตีความ และการนำธรรมบัญญัติมาใช้ ผู้คนต่างตระหนักดี (มัทธิว 7:28-29) มัทธิว 8:1-17 แสดงให้เห็นถึงแนวทางหลักๆที่สอดคล้องกับคำสอนในคำเทศนาบนภูเขาของพระองค์

โดยเฉพาะ พระวจนะตอนนี้เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูและธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัติไม่ช่วยให้ใครรอดได้ และไม่ช่วยรักษาใครให้หายโรค ธรรมบัญญัติอาจชี้ให้เห็นถึงความเจ็บป่วยและสุขภาพ แต่ไม่อาจทำให้สุขภาพดีขึ้น มีแต่จะพูดถึงความวิบัติที่จะได้รับ (ประกาศว่าคุณเป็นมลทิน) หรือเป็นผู้ป่วย ในอีกด้าน พระเยซูรักษาผู้ป่วยได้ เช่นเดียวกับยกโทษบาปให้ได้ นี่เป็นสิทธิอำนาจของพระองค์ในฐานะบุตรของพระเจ้า และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระเมสซิยาห์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้มาเพื่อล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่กลับมาทำให้สำเร็จครบถ้วน

มัทธิวบันทึกเรื่องชายโรคเรื้อนเป็นเรื่องแรก คนที่อาการของโรคทำให้ถูกตัดขาดจากสังคม และไม่อาจเข้าถึงพระเจ้าได้ พูดง่ายๆคือเขาถูกกักให้อยู่ “ภายนอกค่าย” แล้วธรรมบัญญัติทำอะไรให้เขาได้บ้าง? มีแต่ประนามและสาปแช่ง แต่โดยฤทธิอำนาจของพระเจ้า เขาได้รับการรักษาให้หาย และประกาศว่าเขาสะอาดและหายดี นี่คือสิ่งที่ธรรมบัญญัติทำให้ไม่ได้ พระเยซูทรงรักษาชายโรคเรื้อนให้หายได้ และนี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทำ

เช่นเดียวกับบาปของเรา ธรรมบัญญัติชี้ให้เห็นและแสดงให้เห็นความบาปของเรา แต่ไม่อาจกำจัดบาปนั้นได้ ธรรมบัญญัติประกาศว่าอะไรคือความชอบธรรม แต่ไม่เคยหาหนทางให้เราเป็นคนชอบธรรมได้ ธรรมบัญญัติประกาศว่าเราทุกคนเป็นคนบาป แต่ไม่อาจช่วยให้รอดพ้นจากบทลงโทษได้ (โรม 3:9-20) พระเยซูคริสต์เท่านั้น สามารถขจัดความโสมมออกไปจากจิตวิญญาณเรา และประกาศว่าเราสะอาดหายดีแล้ว

พระเยซูทรงส่งชายโรคเรื้อนที่หายดีไปหาปุโรหิต เพื่อเป็นไปตามที่ธรรมบัญญัติกำหนด (เลวีนิติ 14) เพื่อให้ปุโรหิตรู้เห็นเป็นพยาน และตระหนักว่าคนโรคเรื้อนนั้นได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทำ ให้พวกเขาต้องคิดหนักว่าพระเยซูคือผู้ใด เพราะนี่เป็นการอัศจรรย์ ตามที่มัทธิวบ่งไว้ในข้อ 17 พระเยซูไม่ได้มาเพื่อล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่มาทำให้ครบถ้วนในฐานะพระเมสซิยาห์ พระองค์เองสามารถรักษาชายโรคเรื้อนนี้ให้หายสะอาดได้ พระองค์เองสามารถยกโทษคนบาปจากความผิดบาปได้ และมอบชีวิตนิรันดร์ให้ผู้ที่ได้รับการอภัยได้

เรื่องนายร้อยก็เป็นเรื่องที่มัทธิวให้ความสำคัญที่สุด การเป็นคนต่างชาติ นายร้อยคนนี้ไม่บังอาจทำให้พระเยซูมัวหมองโดยไปที่บ้านของเขา และเขายังตระหนักดีถึงฤทธิอำนาจของพระองค์ พระเยซูไม่จำเป็นที่ต้องเสด็จไปที่บ้านของเขาเพื่อช่วยรักษาบ่าว พระองค์สามารถรักษาได้จากที่ๆพระองค์ประทับอยู่ และเขาร้องขอไม่ให้พระองค์เสด็จไป พระเยซูทรงปิติกับความเชื่อของนายร้อยคนนี้ ถ้าเขาคิดว่าเขาไม่มีส่วนในพระพรที่พระเจ้ามอบให้คนอิสราเอล เขามองเห็นถึงกำแพงที่ขวางกั้นอยู่หรือ? เป็นกำแพงที่สร้างมาจากธรรมบัญญัติ พระเยซูตรัสกับเขาว่าเขาจะได้นั่งร่วมโต๊ะเสวยกับบรรดาอัครปิตุลาของแผ่นดิน สวรรค์ ในขณะที่พวกยิวหลายคนจะถูกโยนออกไป ธรรมบัญญัติไม่สามารถเสนอทางออกที่กั้นอยู่ระหว่างคนยิวและคนต่างชาติ แต่พระเยซูทรงรื้อกำแพงที่กั้นนี้ออกไป เพื่อให้เป็นไปตามพระสัญญาในธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ ธรรมบัญญัติแยกชาวยิวออกจากชาวต่างชาติ พระเยซูคริสต์ทรงนำทั้งสองมาไว้ด้วยกันเพื่อให้เป็นคนๆใหม่

11 เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือ เคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัต 12 จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า 13 แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ 14 เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง 15 คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข 16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป 17 และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ 18 เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณ องค์เดียวกัน 19 เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า 20 ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก 21 ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22 และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย (เอเฟซัส 2:11-22)

พระเยซูคริสต์ทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ และมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันออกไป ทั้งยิวและคนต่างชาติสามารถเข้าถึงพระพรของพระเจ้าได้ (รวมถึงมีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกันได้) ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา คนยิวและคนต่างชาติสามารถเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ มีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่ทำสิ่งมหัศจรรย์นี้ได้ ธรรมบัญญัติไม่เคยทำ ธรรมบัญญัติมีไว้เพื่อเปิดเผยความบาป และชี้เราไปที่พระเยซูคริสต์ พระองค์คือผู้ที่ต้องเสด็จมา ต้องสำแดงพระองค์ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ที่บนกางเขนเพราะความบาปของเรา ทรงถูกฝังไว้ และคืนพระชนม์ขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงประทับอยู่เบื้องขวาพระบิดา ทรงเป็นทั้งพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นผู้พิพากษา คุณจะให้พระองค์เป็นผู้ใดสำหรับคุณ?

ใครล่ะจะกล้าปฏิเสธความรอดที่พระองค์มอบให้? คงมีเพียงคนที่อยากไปสวรรค์ด้วยการทำดีของตัวเอง คนที่เกลียดชังและดูหมิ่นพระคุณ พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยที่มหัศจรรย์ของเรา พระองค์ปรารถนาจะช่วย เพียงแต่ต้องการให้เราวางใจในพระองค์เพื่อความรอดนี้ เป็นความจริงที่พระเจ้าเท่านั้นสามารถหันจิตใจเราให้ไปหาพระองค์ได้ แต่ก็เป็นความจริงว่าพระเจ้าไม่เคยหันพระพักตร์หนีจากผู้ที่สำนึกผิดกลับใจ และมาหาพระองค์ด้วยความเชื่อ ทูลขอความเมตตาและความรอด:

“สารพัดที่พระบิดาทรงประทานแก่เรา จะมาสู่เรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย” (ยอห์น 6:37)

ในฐานะคริสตจักร เราอุทิศตนเพื่อการอธิษฐาน แสวงหาพระสิริของพระเจ้าในความรอดของมนุษย์ พระวจนะตอนนี้เป็นตอนที่หนุนใจมากสำหรับคนที่มีใจปรารถนาอยากอธิษฐาน พระเยซูทรงพร้อมแล้ว พร้อมที่จะได้รับพระเกียรติในความรอดที่ทรงมอบให้มนุษย์ทุกคน ทุกเชื้อชาติ ทรงพร้อมที่จะรับฟังและตอบคำอธิษฐานในฐานะที่เราเป็นบุตรของพระเจ้า แล้วทำไมเราไม่ทูลขอ?

พระองค์อยู่ไกลไปหรือ? เราคิดว่าระยะทางเป็นอุปสรรคไม่ให้พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานหรือตอบตามที่เรา ร้องขอหรือ? ให้เก็บเรื่องความเชื่อของนายร้อยไว้ในใจ คนที่พระเยซูทรงช่วยรักษาบ่าวของเขาได้จากที่ไกล เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่มีสิทธิและมีฤทธิอำนาจช่วยได้ อย่าให้เราหยุดยั้งในการอธิษฐาน จำไว้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดของเรามีพระประสงค์จะช่วย และมีฤทธิอำนาจประทานให้ตามที่เราทูลขอ และจงถวายพระสิริทั้งสิ้นแด่พระองค์

จัดเตรียมโดย: Robert L (Bob) Deffinbaugh

pastor/teacher and elder at Community Bible Chapel in Richardson, Texas, USA

แปล: อรอวล ระงับภัย คริสตจักรแห่งความสุข

ลิขสิทธิของ 2016 Bible.org


1 202 ลิขสิทธิ 2003 โดย Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. ดัดแปลงจากต้นฉบับของบทเรียนที่ 29 ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย ศบ โรเบิร์ต แอล เดฟฟินบาว พฤษภาคม 16, 2004

2 203 ดูมาระโก 1:40-45 ลูกา 5:12-14

3 204 ดูลูกา 7:1-10 See

4 205 ดูมาระโก 1:29-34 ลูกา 4:38-42

5 206 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.

6 207 ดูมัทธิว 1:22-23, 2:15, 2:17-18, 2:23

7 208 ไม่ใช่การพากเพียรทำหรือการงานของเราที่ช่วยให้รอดได้ แต่เป็นการแสดงว่าความเชื่อของเรานั้นแท้จริงและเป็นจริง (ยากอบ 2:14-26)

8 209 มัทธิวบอกเราว่าเมื่อพระเยซูทรงส่งสาวกทั้ง 12 ไป พวกเขาต้องไป “รักษาคนโรคเรื้อนให้หายสะอาด” (10:8) เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาสงสัยเกี่ยวกับพระเยซู พระองค์ทรงบอกสาวกของยอห์นให้เตือนท่านว่า ในท่ามกลางหลายสิ่ง พระองค์ทรงรักษาคนโรคเรื้อนให้หายสะอาด (มัทธิว 11:5) ในมัทธิว 26:6 พระเยซูทรงรับประทานอาหารในบ้านของ “ซีโมนคนโรคเรื้อน”

9 210 พระคัมภีร์ฉบับแปลของ NET Bible อ่านว่า “เต็มไปด้วยโรคเรื้อน”

10 211 ถ้าต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ หาดูจากหนังสือของ William Hendriksen, The Gospel of Matthew (Grand Rapids, Michigan: Baker Book House, 1973), p. 388.

11 212 เราอาจเห็นว่าบันทึกของมัทธิวเรื่องของนายร้อยอาจคลาดเคลื่อนจากที่ลูกา บันทึกไว้ใน ลูกา 7:1-10 ผมเชื่อว่ามีคำอธิบายในความคลาดเคลื่อนนั้น แต่สิ่งนี้ไม่มีผลต่อเนื้อหาของข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ

12 213 ดู มัทธิว 8:5, 8, 13; 27:54;มาระโก 15:39, 44; ลูกา 7:6; 23:47; กิจการ 10:1, 22; 22:25; 24:23; 27:1, 6, 11, 31, 43.

13 214 เฟรดริก บรูเนอร์คิดว่าเขาน่าจะเป็นคนซีเรีย จากหนังสือ Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas, Word Books, 1987), vol. 1, p. 302.

14 215 ผมว่าน่าสนใจที่ในฉบับแปล NASB สื่อว่านายร้อยนี้เป็นคนสงบเสงี่ยม พูดน้อย เพราะเป็นต่างชาติ และพระเยซูเป็นชาวยิว อาจไม่ใช่เพราะเห็นตนเองไม่มีค่า ถึงแม้เป็นความจริง

15 216 เป็นไปได้ว่าแม่ยายเปโตรอาจไม่ค่อยชอบใจพระเยซู เพราะเปโตรละจากอาชีพประมงและครอบครัวติดตามพระองค์ไป เธออาจรู้สึกว่าลูกสาวของเธอ (และครอบครัว) เหมือนถูกทิ้ง เพราะไปติดตามพระเยซู

16 217 ดูหมายเหตุด้านล่างในฉบับแปล NASB ของมัทธิว 8:14

17 218 มัทธิวกล่าวว่านางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติ “พระองค์” (8:15) ในมาระโก 1:31 บันทึกว่านางจึงปรนนิบัติ “พระองค์กับพวกของพระองค์” ไม่น่ามีอะไรที่ขัดแย้ง เนื่องจากพระเยซูเป็นผู้ที่รักษานางให้หาย จึงต้องเน้นความสำคัญไปที่พระองค์ นางลุกขึ้นมาปรนนิบัติพวกของพระองค์ เพราะ “พระองค์”

18 219 จะเห็นว่าพระกิตติคุณเล่มอื่นๆอาจเรียงลำดับเรื่องต่างกัน

Related Topics: Spiritual Life

Report Inappropriate Ad